นายกฯ ปฏิเสธรู้เห็นการทำร้าย อ.ปวิน ที่ญี่ปุ่น
2019.08.06
กรุงเทพฯ
ในวันอังคารนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวแก่สื่อมวลชนว่า ตนเองและรัฐบาล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งมักวิจารณ์การเมืองและพาดพิงสถาบันเบื้องสูง ถูกบุกทำร้ายที่ห้องพักในประเทศญี่ปุ่น ทั้งยังระะบุว่า มีความรู้สึกเห็นใจนายปวิน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแก่สื่อมวลชน ในการแถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า รัฐบาลและตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่นายปวิน ถูกคนร้ายบุกเข้าไปพ่นสารเคมีใส่ภายในห้องพักที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2562
“เรื่องของคุณปวินเนี่ย ผมก็เห็นใจเขานะ แต่เขาถูกทำร้ายที่ญี่ปุ่นนะ รัฐบาลจะส่งคนไปทำหรือ ใครจะกล้า ใครจะกล้าไปทำเขาไหมล่ะ กฎหมายบ้านเขาเป็นยังไงล่ะ ผมคงไม่ทำอย่างงั้นนะ ไม่ใช่คง ไม่ทำอยู่แล้ว” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
“แต่ละประเทศมีสัญญากันว่า เขาจะพยายามกัน แก้ปัญหาไม่ให้คนที่ไปทำร้ายประเทศอะไรเข้ามาอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน กติกาสำคัญของเรา ก็ดูแลไม่ให้คนเคลื่อนไหวในเชิงต่อต้านรัฐบาลเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ทำนองนี้ อันนี้ ผมก็ไม่รู้มันเกี่ยวข้องกันหรือเปล่า” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ประจำของมหาวิทยาลัยเกียวโต เป็นหนึ่งในผู้ที่มักใช้เฟสบุ๊คส่วนตัวเขียนข้อความวิพากษ์-วิจารณ์การเมือง และสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประจำ ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2562 เฟสบุ๊คของนายปวินไม่มีความเคลื่อนไหว เป็นเวลาราว 1 เดือน กระทั่งวันที่ 3 สิงหาคม 2562 นายปวินได้กลับมาเขียนข้อความอีกครั้ง ระบุว่า ตนเองถูกคนร้ายบุกเข้ามาในห้องพักและใช้สเปรย์สารเคมีฉีดใส่ ในวันที่ 8 กรกฎาคม 2562
“เมื่อเวลา 04.45 น. ของวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 มีชายในชุดสีดำสวมหน้ากากบุกเข้ามาในอพาร์ทเมนท์ของผม แล้วใช้สเปรย์สารเคมีฉีดมาที่ผม และเพื่อนของผมซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ เราพยายามไล่จับคนร้าย แต่คนร้ายหนีออกไปได้สำเร็จ… สารเคมีที่ฉีดใส่ผม ทำให้ผิวหนังบางส่วนไหม้ หลังเกิดเหตุไม่นาน ตำรวจญี่ปุ่นก็มาถึงห้อง และส่งพวกเราไปพบแพทย์… แพทย์แจ้งว่า สารเคมีที่ใช้ฉีดใส่เราไม่ร้ายแรง แต่เราถูกบอกให้ไปอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัยนอกเกียวโตเป็นการชั่วคราว” นายปวิน เขียนบรรยายการบุกทำร้ายเขา บนเว็บไซต์เอเชียเซนทิเนล (Asiasentinel) เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2562
“ทางการญี่ปุ่นกำลังตามจับคนร้าย กรณีผมชี้ชัดว่า คนร้ายต้องการข่มขู่มากกว่าหมายปองชีวิต… ไม่มีรัฐบาลไหนยอมรับว่าส่งทีมสังหารไปจัดการผู้เห็นต่างนอกประเทศ” นายปวิน กล่าวบนเฟสบุ๊คส่วนตัว หลังจากการแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์
นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ อาจารย์ภาควิชาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น เป็นวิทยากรรับเชิญในเวทีเสวนาเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยในหลายประเทศ และมักเขียนข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยบ่อยครั้ง หลังการรัฐประหาร 2557 เป็นหนึ่งในบุคคลที่ คสช. เชิญให้ไปรายงานตัว แต่นายปวินได้ปฎิเสธการปฎิบัติตามคำสั่ง โดยอ้างว่าติดภารกิจสอนหนังสือที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบัน ได้รับหนังสือเดินทางจากรัฐบาลญี่ปุ่น และยังพำนักอยู่ในประเทศญี่ปุ่น
เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2560 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ออกประกาศให้ประชาชนไทยงดเว้นการติดตาม ติดต่อ และเผยแพร่ข้อความบนเฟสบุ๊คของ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธุ์ และนายแอนดรูว์ แมคเกรเกอร์ มาร์แชล ซึ่งเป็นบุคคลที่มักวิจารณ์ข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยผ่านอินเทอร์เน็ต โดยประกาศดังกล่าวระบุว่า การติดตาม ติดต่อ และเผยแพร่ข้อมูลของบุคคลทั้งสาม อาจเป็นการเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
นายปวิน ย้ายจากประเทศสิงคโปร์ไปประเทศญี่ปุ่นใน ปี พ.ศ. 2555 เพื่อรับงานที่มหาวิทยาลัยเกียวโต
หลังจากที่รัฐบาลทหารออกหมายจับตัวเขา หลังรัฐประหารในปี 2557 และเจ้าหน้าที่ได้เพิกถอนหนังสือเดินทางไทย นายปวินจึงได้ขอลี้ภัยในประเทศญี่ปุ่น
นักกิจกรรมการเมืองถูกเก็บ
หลังจากที่ พลเอกประยุทธ์เข้ายึดอำนาจ หลังจากรัฐประหารในปี 2557 มีผู้เห็นต่างชาวไทยหลายสิบคนหลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา เนื่องจากพวกเขากลัวการถูกจับกุม ภายใต้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่รุนแรง และมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี สำหรับการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์
ในสัปดาห์นี้ สมาชิกของกลุ่มนักดนตรี วงไฟเย็น ที่เคยลี้ภัยอยู่ในประเทศลาว ได้มีการฉลองแสดงความยินดี หลังจากพวกเขาได้เดินทางออกจากลาว ถึงประเทศฝรั่งเศสแล้ว ในฐานะผู้ลี้ภัย พวกเขาบอกกับผู้สื่อข่าวในกรุงปารีส ว่าความกลัวของพวกเขาเพิ่มขึ้น หลังจากนักเคลื่อนไหวชาวไทยสามคนที่พยายามหนีจากลาว ไปเวียดนาม ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และได้หายตัวไป
องค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ (HRW) ได้มีแถลงการณ์ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา เรียกร้องให้รัฐบาลลาวตรวจสอบการหายตัวไปของนักกิจกรรมทั้งสาม หลังจากทางการไทยบอกว่า ตัวอย่างดีเอ็นเอจากสองศพที่พบที่ฝั่งแม่น้ำโขง ตรงกันกับนักเคลื่อนไหวที่หายตัวไปสองคน คือ สหายภูชนะ และสหายกาสะลอง
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือที่รู้จักกันในนาม สุรชัย แซ่ด่าน วัย 78 และคนสนิทสองคน ที่รู้จักกันในชื่อ ภูชนะ อายุ 54 ปี และกาสะลอง อายุ 47 ปี ถูกพบเห็นครั้งหลังสุด ที่เวียงจันทน์ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2561 เพื่อนร่วมงานของพวกเขารายงานการหายตัวไป แก่ทางการลาว แถลงการณ์ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าว
ศพของนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลทั้งสองถูกพบ ในวันที่ 27 และ 29 ธันวาคม 2561 ตามแนวฝั่งโขงระหว่างไทย-ลาว เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย กล่าว
“มือและเท้าของทั้งสองถูกมัดไว้ และใบหน้าถูกทำลายจนไม่สามารถระบุได้ ท้องถูกผ่า ยัดแท่งปูน” ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าว และแสดงความกังวลต่อชะตากรรมของนายสุรชัย
นนทรัฐ ไผ่เจริญ ในกรุงเทพฯ มีส่วนในการรายงาน