นายกรัฐมนตรียืนยันสั่งตรวจสอบ คดีวิสามัญนักกิจกรรมชาวลาหู่
2017.03.21
กรุงเทพฯ
ในวันอังคาร (21 มีนาคม 2560) นี้ องค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศต่างออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบ กรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธยิงนายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่เสียชีวิต ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยอ้างว่า นายชัยภูมิพยายามขัดขืนการตรวจค้นยาเสพติดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งองค์กรสิทธิต้องการให้รัฐบาลตั้งกรรมการตรวจสอบการเสียชีวิตครั้งนี้อย่างเป็นกลาง และเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ถึงกรณีนี้ว่า ต้องการให้ฝ่ายรัฐตั้งกรรมการที่เป็นกลางตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดการเอื้อประโยชน์แกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นทหาร
“สิ่งที่เราค่อนข้างจะเป็นห่วง คือ ทำอย่างไรให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างคล่องตัว ให้การพิจารณาเป็นธรรม ผู้ที่ก่อเหตุเป็นทหาร ต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลเยอะ ที่ผ่านมาเราพบว่า พยานหลักฐานทั้งหลาย โดยเฉพาะพยานที่พบเห็นเหตุการณ์ยังไม่กล้าออกมาพูดข้อเท็จจริงให้สังคมทราบ ประกอบกับโฆษกกองทัพบกออกการันตีว่า ทหารทำถูกต้องแล้ว ทำให้ประชาชนที่อาจจะมีข้อมูลไม่กล้าออกมา เพราะพื้นที่นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดกรณีระหว่างประชาชนกับทหาร” นายสุรพงษ์กล่าว
ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า จะสั่งการให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ แต่อย่างไรก็ดี ประชาชนและสื่อมวลชนต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ทำงาน
“เดี๋ยวผมจะให้มีการตรวจสอบต่อไป แต่ถ้าจะมองเพียงแค่ว่าเขา เป็นนักกิจกรรมชาติพันธุ์หรือเปล่า ถึงต้องถูกวิสามัญ ซึ่งคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่เคยคิดแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องให้เกิดความชัดเจนว่ากันด้วยพยานหลักฐาน ขอร้องว่าวันนี้อย่าเพิ่งพูดกันไปมา เดี๋ยวจะเสียรูปคดี ให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานกันไปก่อน” นายกรัฐมนตรีระบุ
ตามรายงานจากสื่ออื่นๆ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ทหารที่เป็นผู้ยิงนายชัยภูมิ จนเสียชีวิต ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนที่ สภ.นาหวาย แล้ว โดยทางตำรวจได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พร้อมพิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติ ก่อนจะปล่อยตัวชั่วคราว
ผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์ยังได้ติดต่อ พ.ต.อ.ชลเทพ ใหม่ไชย ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเชียงดาว และ พ.ต.อ.มงคล สัมภวะผล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าพนักงานผู้รับผิดชอบคดี แต่ทั้งคู่ปฎิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการคุ้มครองพยาน และครอบครัวนายชัยภูมิจากการถูกข่มขู่หรือคุกคาม
“ให้ดำเนินการสอบสวนอย่างอิสระไม่ลำเอียง และให้คุ้มครองพยานชาวบ้านในชุมชน และครอบครัวจากการถูกข่มขู่ หรือคุกคาม พยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์สังหารซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ควรได้รับการปล่อยตัว เว้นแต่เขาจะต้องข้อหาซึ่งเป็นฐานความผิดที่เป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากลซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เขาต้องได้รับการควบคุมตัวชั่วคราวตามคำสั่งของศาลพลเรือนที่เป็นอิสระ ในกรณีที่ไม่มีการปล่อยตัวเขา หรืออยู่ระหว่างพิจารณาการปล่อยตัว เขาต้องสามารถเข้าถึงทนายความที่เป็นอิสระ และสามารถพบกับญาติโดยทันที” ตอนหนึ่งของแถลงการณ์องค์กรแอมเนสตี้ระบุ
“แทนที่จะยอมรับคำให้การของทหารที่ยิงนายชัยภูมิโดยไม่ตั้งคำถาม ทางการไทยจะต้องสอบสวนคดีนี้โดยละเอียด ตรงไปตรงมา และเปิดเผยข้อเท็จจริงแก่ประชาชน” นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการองค์กรฮิวแมนไรท์วอทช์ ฝ่ายกิจการเอเชียระบุผ่านแถลงการณ์ โดยเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้คู่ขนานกันไป
นายชัยภูมิ ป่าแส นักกิจกรรมชาวลาหู่ อายุ 17 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ทหารประจำด่านตรวจบ้านรินหลวง ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ยิงเสียชีวิต เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 โดยเจ้าหน้าที่ทหารให้ข้อมูลกับสื่อมวลชนว่า ได้ขอตรวจค้นรถยนต์ที่มี นายพงศ์นัย แสงตะล้า เป็นผู้ขับ และนายชัยภูมิเป็นผู้โดยสาร เพื่อตรวจหายาเสพติด แต่นายชัยภูมิได้พยายามขัดขืนการจับกุม ใช้มีดต่อสู้ และพยายามใช้ระเบิดขว้างใส่เจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงต้องใช้อาวุธปืนยิงเพื่อป้องกันตัว จนเป็นเหตุให้นายชัยภูมิเสียชีวิต
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมนายพงศ์นัย แสงตะล้า อายุ 19 ปี พยานผู้อยู่ในเหตุการณ์เพียงคนเดียวเป็นผู้ต้องหา โดยเบื้องต้นนายพงศ์นัยให้การปฏิเสธไม่รู้เห็นกับยาบ้า 2,800 เม็ด ที่ซุกซ่อนอยู่ในที่กรองอากาศของรถยนต์ที่ขับมา
การเสียชีวิตของนายชัยภูมิครั้งนี้ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ เนื่องจาก นายชัยภูมิเป็นนักกิจกรรมที่เรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ และต่อต้านยาเสพติดมาโดยตลอด และเจ้าหน้าที่รัฐเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเสียชีวิตครั้งนี้ไม่มากเท่าที่ควร