พล.อ.อภิรัชต์ ยืนยันไม่ลาออก แม้ทหารก่อเหตุกราดยิง 29 ศพที่นครราชสีมา

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และวิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2020.02.11
กรุงเทพฯ
200211-TH-army-shooting-1000.jpg พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. แถลงข่าวถึงเหตุการณ์ทหารกราดยิงประชาชน ที่นครราชสีมา วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563
เอพี

ในวันอังคารนี้ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) แถลงแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารจากค่ายสุรนารีก่อเหตุกราดยิงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และประชาชน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 คน และบาดเจ็บ 58 คน ที่จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม พลเอกอภิรัชต์ ยืนยันว่า จะไม่ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ เนื่องจากเหตุที่เกิดเป็นการกระทำส่วนบุคคล

พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองทัพบก (ผบ.ทบ.) กล่าวในการแถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 โดยอธิบายลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันเสาร์ ระบุว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารในสังกัดกรมสรรพวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรนารี ได้เดินทางไปยังบ้านพักของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ ผู้บังคับการกองพัน สรรพวุธกระสุนที่ 22 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และใช้ปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ และมารดาของภรรยาของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ จนเสียชีวิต หลังจากตกลงรายละเอียดการซื้อ-ขายบ้านไม่ลงตัว

จากนั้น จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้เดินทางไปที่คลังอาวุธในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ใช้อาวุธปืนยิงทหารยามที่เฝ้าคลัง และขโมยปืนสงคราม เครื่องกระสุน และขับรถตรวจการทหาร เข้าไปในตัวเมืองนครราชสีมา วัดป่าศรัทธาราม และห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา มีการจับคนเป็นตัวประกันและกราดยิง จนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ทำให้มีเจ้าหน้าที่และประชาชนเสียชีวิต 29 ราย และบาดเจ็บ 58 คน

“ผมในฐานะผู้บัญชาการทหารบก ต้องขอโทษและแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ ซึ่งมีผู้ก่อเหตุเป็นกำลังพลของกองทัพบก ผมขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวประชาชน ตลอดจนข้าราชการที่ต้องเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเสียใจกับประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าว

“ณ วินาทีที่ผู้ก่อเหตุได้ลั่นไก สังหารคู่กรณี ณ วันนั้น ณ นาทีนั้น เขาคือ อาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว...อย่าด่าว่า กองทัพบก อย่าว่าทหาร ถ้าท่านจะด่า ท่านจะตำหนิ ท่านมาด่าพลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผมน้อมรับคำตำหนิ การแสดงความคิดเห็นทุกอย่าง เพราะผมเป็นผู้บัญชาการทหารบก” พล.อ.อภิรัชต์ กล่าวเพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า พล.อ.อภิรัชต์ จะลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า ไม่

“สมควรใช้คำถามนี้กับผมไหม.. อะไรที่สั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำ ผมรับผิดชอบ แต่ผมไม่สามารถที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดจากเหตุการณ์ส่วนตัว.. อันนั้นผมรับไม่ได้ ผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาและเครือญาติ คู่กรณีซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาและเครือญาตินั้น ได้มีการซื้อขายที่ดิน ผิดสัญญากันในเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งในรายละเอียดก็ต้องไปสืบต่อไปว่ามีใครที่เกี่ยวข้อง ที่เป็นผู้บังคับบัญชาที่ยังเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เมื่อผิดสัญญากัน ก็จึงทำให้เกิดแรงจูงใจในการก่อเหตุครั้งนี้” พล.อ.อภิรัชต์ ระบุ

ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ซึ่งจะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายน 2563 นี้ สัญญาว่า จะสอบสวนเกี่ยวกับประเด็นความไม่เป็นธรรมในกองทัพ ซึ่งจะนำไปสู่การปลดนายทหารระดับสูงหลายคน

“มันเคยมีโครงการบ้านสวัสดิการแบบนี้ และการกู้เงินต่างๆ หน่วยบางหน่วยร่วมมือกับพ่อค้า พ่อค้าก็มีการเข้ามาติดต่อ มีการวิ่งเต้น ซึ่งผมไม่อยากสาธยายเยอะ เป็นอันว่าผมรู้ และกุมภา-มีนา-เมษา นี้ ตั้งแต่นายพลยันพันเอก ไม่มีงานทำแน่หลายคน และผมก็ไม่สนด้วย เพราะผมรู้ข้อมูลลึก ผมเติบโตมากับความที่รู้สึกว่าไม่ถูกหลายอย่างๆ ผมไปกราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมว่า พี่ครับผมต้องทำ” ผบ.ทบ. ระบุ

ในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครราชสีมาครั้งนี้จะเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับประเทศไทย

“บทเรียนครั้งนี้เป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ ทุกฝ่ายต้องนำไปแก้ไข ปรับปรุงหาแนวปฏิบัติที่ดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก ที่ผมเป็นห่วงคือ พฤติกรรมเลียนแบบ ตัวอย่างเหล่านี้ โดยเฉพาะการใช้เว็บ ใช้โซเชียล ก็ต้องลดความรุนแรงลง ไม่งั้นประชาชนหรือคนที่มีปัญหาเหล่านี้ โอกาสที่จะเกิดการเลียนแบบมันก็มีอยู่ ประเทศไทยทำไมมันเกิดได้ขนาดนี้ก็ต้องไปดูสิว่า เกิดอะไรขึ้นในสังคมปัจจุบัน การใช้โซเชียลของเราเป็นยังไง ถ้าทุกคนได้ช่วยกันตรงนี้ มันจะลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้มากพอสมควร” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

ปัจจุบัน ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 24 คน ในนั้น 5 คนยังอยู่ในห้องไอซียู ตามการเปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ของ นายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์  นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา ขณะที่ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับประชาชนแล้วอย่างน้อย 6 รายที่โพสต์ข้อความบางอย่างคล้ายการเลียนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครราชสีมา

ในวันอังคาร สำนักงานจุฬาราชมนตรี ได้แถลงถึงเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมาเช่นกัน

“จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย หวังว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นบทเรียนสำคัญ ให้คนไทยทุกคนได้ร่วมกันคิดอ่านสร้างสังคมที่มีความเป็นธรรมมากขึ้น มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกัน มีน้ำจิตน้ำใจต่อเพื่อนร่วมสังคมมากขึ้น และใช้หลักธรรมแห่งศาสนาเป็นครรลองแห่งชีวิตอย่างเคร่งครัดต่อไป” แถลงการณ์ ระบุ

ด้าน นางพรลภัทร มิตรจันทร์ ภรรยาหม้ายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์ กระแสร์ และลูกสาวของนางอนงค์ มิตรจันทร์ ที่ถูก จ.ส.อ.จักรพันธ์ ทหารใต้บังคับบัญชา ยิงเสียชีวิตทั้งสองรายในที่เกิดเหตุ ได้เปิดเผยสาเหตุปมสังหารครั้งนี้กับสำนักสื่อไทยว่า เกิดจากเรื่องเงินในโครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักให้ทหารของครอบครัวเธอ โดย จ.ส.อ.จักรพันธ์ ผู้ก่อเหตุ ได้ซื้อบ้านในโครงการดังกล่าว ราคา 1.5 ล้านบาท และแม่ของตน คือนางอนงค์ เป็นผู้ดำเนินการช่วยเหลือเรื่องเอกสารและจัดการตกแต่งในบ้านให้ และมีเงินส่วนลดเหลือ 5 หมื่นบาท จากที่ซื้อบ้านจากโครงการ ซึ่งแม่ของตนได้มอบให้ นายพิทยา ซึ่งเป็นนายหน้าไว้ แต่มาทราบไม่กี่วันมานี้ว่า นายพิทยายังค้างจ่ายเงินส่วนนี้

“สามีเป็นคนใจดีมาก ถามลูกน้องได้เลย และคำว่ายิงกันนี่ มันห่างไกลกับครอบครัวของเรามาก” เธอกล่าว

นายนฤพล มิตรจันทร์ สามีนางอนงค์ และพ่อตาผู้เสียชีวิต คาดว่านายหน้าคืนเงินให้ไม่หมด ทำให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์ทวงถามอยู่หลายครั้ง ภรรยาของตน นางอนงค์ จึงนัด จ.ส.อ.จักรพันธ์และนายหน้ามาเจรจาที่บ้านพัก โดยขอให้ พ.อ.อนันต์ฐโรจน์มาเป็นพยาน ก่อนเกิดเหตุ

“เราไม่ได้ไปโกงเค้า เพื่อจะช่วยเหลือด้วยซ้ำไป เพราะเป็นลูกน้องของผู้พันด้วย ลูกน้องผู้พันมีหนี้สิน.. เขาเข้าใจผิดว่า ทางเราไม่ได้จ่ายเงินเขา แต่อยู่ที่นายหน้า” นายนฤพล สามีหนึ่งในผู้ตาย กล่าวกับผู้สื่อข่าว

การรักษาความปลอดภัยคลังอาวุธถูกตั้งคำถาม

นางอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เขียนเฟซบุ๊คส่วนตัว ตั้งข้อสังเกตถึง เหตุการณ์ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ สามารถปล้นปืนจากคลังอาวุธว่า การรักษาความปลอดภัยของคลังอาวุธอาจมีความหละหลวม

“ผู้ก่อเหตุที่มีอายุแค่ 30 ต้นๆ เพียงลำพังคนเดียว สามารถปล้นอาวุธจากค่ายทหารมาก่อเหตุอุกอาจเช่นนี้ได้อย่างไร ทำไมจึงหละหลวมในการเก็บรักษาอาวุธสงครามได้มากขนาดนี้ และอะไรเป็นเหตุจูงใจให้ผู้ก่อเหตุกระทำการโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายเช่นนี้ เรื่องนี้คงต้องเป็นความรับผิดชอบของท่าน ผบ.ทบ. และ ท่านแม่ทัพภาค 2 อย่างปฏิเสธไม่ได้ เนื่องจากเป็นสาเหตุแห่งการสูญเสียชีวิต สร้างความหวาดกลัวและความเศร้าสะเทือนใจอย่างมากแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์” นางอังคณา กล่าว

ทั้งนี้ พล.อ.อภิรัชต์ ชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คนร้ายใช้ความคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นยามประจำการ ทำให้สามารถเข้าไปในคลังเก็บอาวุธได้สะดวก

“หน่วยกองพันกระสุนที่ 22 เป็นหน่วยสนับสนุนการรบ ฉะนั้นยามก็แยกแมกกาซีนปืนออกจากตัวปืน แยกกระสุนไว้ เมื่อผู้ก่อเหตุได้ขู่บังคับ ยามเห็นว่าเป็นผู้ร่วมงานด้วยกัน ในหน่วยเดียวกัน ซึ่งยามรักษาการก็รู้ว่าผู้ก่อเหตุเป็นใคร จึงได้มอบปืนและกระสุนให้ เนื่องจากถูกขู่จากนั้น… จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้พลทหารได้รับบาดเจ็บอีกสองราย... ซึ่งพลทหารทั้งสองนายไม่ได้เฉลียวใจ ซึ่งผู้ก่อเหตุ ก็คือผู้ร่วมงาน ไม่ได้ระวังตัวที่จะต่อสู้กลับ”

อย่างไรก็ตาม พล.อ.อภิรัชต์ ระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะถูกนำมาใช้เป็นบทเรียนในการปรับปรุงระบบการดูแลรักษาความปลอดภัยต่อไป

“หลายๆ ภาคส่วนของกองทัพ เชื่อมโยงถึงกัน ไมได้มีเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งที่ต้องแก้ไข กองทัพทั้งกองทัพเป็นองค์กรใหญ่ เป็นองค์กรป้องกันประเทศ เมื่อเราเห็นว่าสิ่งใดต้องได้รับการปรับเปลี่ยน หรือพัฒนาแบบบูรณาการในทุกภาคส่วน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ผู้ใต้บังคับบัญชา เราต้องดูแลกำลังพลลงไปจนถึงระดับพลทหาร โดยเฉพาะกำลังพลระดับประทวน”

“และในระดับชั้นผู้บังคับบัญชาที่ความประพฤติไม่เหมาะสม หรือไม่เคารพระเบียบวินัย เราต้องขจัดออกไป ไม่ว่าเป็นระดับไหนก็ตาม”

“ส่วนเรื่องสวัสดิการของกำลังพล เราต้องให้แนวทางที่ถูกต้อง และมีการสื่อสารกันโดยตรง ซึ่งในอดีตตรงนั้น เราขาดหายไป”

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง