ศาลอาญากรุงเทพ เริ่มกระบวนการพิจารณาคดีระเบิดราชประสงค์

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และวิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2020.01.27
กรุงเทพฯ
200127-TH-shrine-bombing-1000.jpg นายอาเด็ม คาราดั๊ก (กลาง) และนายยูซุฟู ไมไรลี (ซ้าย) ถูกนำตัวมายังศาลทหารกรุงเทพ เพื่อพิจารณาคดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหมเอราวัณ กรุงเทพฯ เมื่อสิงหาคม 2558 ภาพเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2559
เอเอฟพี

ในวันจันทร์นี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ นัดพร้อมคดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2558 โดยเป็นกระบวนการในศาลพลเรือนครั้งแรก หลังโอนย้ายคดีมาจากศาลทหารช่วงปลายปี 2562 ซึ่งทนายความกล่าวว่า จำเลยยังให้การปฏิเสธ และยืนยันว่าจะสู้คดี ด้านศาลได้นัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานอีกครั้ง ในวันที่ 2 มีนาคม 2563

นายชูชาติ กันภัย ทนายความของนายอาเด็ม คาราดั๊ก จำเลยที่ 1 เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ว่า จำเลยทั้งหมดเดินทางมาตามนัดของศาล โดยยังปฏิเสธข้อกล่าวหาวางระเบิด และพร้อมจะสู้คดี

“ปัจจุบัน จำเลยอุยกูร์ 2 รายอยู่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ ทั้งคู่ยังยืนยันให้การปฏิเสธ และพร้อมสู้คดีเหมือนเดิม” นายชูชาติ กล่าวผ่านโทรศัพท์

ทั้งนี้ ศาลอาญากรุงเทพใต้ ได้นัดพร้อมคดีหมายเลขดำ อ.2742/2562 ซึ่งพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอาเด็ม คาราดั๊ก หรือนายบิลาล โมฮำเหม็ด หรือบิลาล เติร์ก อายุ 28 ปี ชาวอุยกูร์-จีน และ นายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่ 2 ชาวอุยกูร์-จีน อายุ 30 ปี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานทำให้ระเบิด และทำให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 และ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 รวม 11 ข้อหา จากการกระทำที่เชื่อว่าเกี่ยวกับเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ ช่วงค่ำวันที่ 17 สิงหาคม 2558 และเหตุระเบิดบริเวณสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสิน-ท่าเรือสาทร วันที่ 18 สิงหาคม 2558 โดยคดีเป็นการโอนคดีพิจารณามาจากศาลทหารกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งตลอดการพิจารณาของศาลทหารฯ จำเลยทั้งสองไม่ได้รับการประกันตัว

วันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายอาเด็ม คาราดั๊ก จำเลยที่ 1 และ นายไมไรลี ยูซุฟู จำเลยที่ 2 มาจากเรือนจำชั่วคราวหลักสี่ โดยมีทนายความ และเสมียนทนายเดินทางมาด้วย ศาลได้จัดหาล่ามแปลภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกลางให้กับจำเลยที่ไม่สามารถฟังและพูดภาษาไทยได้  ในห้องพิจารณา อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 โจทก์ขอศาลให้ใช้คำฟ้อง บัญชีพยาน และการสืบพยาน ตลอดจนพยานหลักฐาน จากกระบวนการในศาลทหาร ขณะที่ จำเลยทั้งสองได้ยื่นใบแต่งทนายความ พร้อมคำให้การปฏิเสธ ส่วนบัญชีพยานของจำเลยก็ให้อ้างตามที่เสนอในศาลทหารกรุงเทพมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม วันนี้ เสมียนทนายความ จำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนการนัดพร้อมออกไปก่อน เนื่องจากทนายความของจำเลยที่ 2 ไม่สามารถมาศาลได้ เพราะต้องว่าความอีกคดีหนึ่งในต่างจังหวัด ซึ่งโจทก์และจำเลยไม่ได้คัดค้านคำขอเลื่อนดังกล่าว ศาลจึงพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีนี้ มีเหตุสมควร จึงอนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อม เพื่อตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 2 มีนาคมนี้ เวลา 13.30 น.

ในวันเดียวกัน คดีหมายเลขดำ อ.2743/2562 ที่อัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ รับโอนคดีฟ้องจากศาลทหารฯ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2562 มี น.ส.วรรณา สวนสัน หรือ ไมซาเราะห์ อายุ 34 ปี ชาวจังหวัดพังงา ซึ่งถูกจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปี 2560 เป็นจำเลย ในข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ และครอบครองวัตถุระเบิดฯ ในการระเบิดศาลท้าวมหาพรหม ศาลก็ได้นัดพร้อมตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ นี้ เวลา 13.30 น. โดยจำเลยได้ยื่นโฉนดที่ดิน และหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ 5 ฉบับเป็นหลักประกันการขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลได้อนุญาต

คดีระเบิดราชประสงค์

เหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ เกิดขึ้นในช่วงค่ำของวันที่ 17 สิงหาคม 2558 เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บกว่า 120 ราย หลังการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในบริเวณดังกล่าว ทำให้ทราบว่า คนร้ายที่ก่อเหตุสวมใส่เสื้อสีเหลือง และนำกระเป๋าที่คาดว่า บรรจุระเบิดมาวางไว้บริเวณเก้าอี้นั่งภายในรั้วของศาลท้าวมหาพรหม ก่อนจุดระเบิดขึ้น หลังเกิดเหตุ และในวันต่อมา มีการวางระเบิดอีกครั้งบริเวณท่าเรือสาทร หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 2 ราย คือ นายอาเด็ม คาราดั๊ก หรือนายบิลาล โมฮำเหม็ด หรือบิลาล เติร์ก อายุ 28 ปี ในวันที่ 29 สิงหาคม 2558 และและ นายไมไรลี ยูซุฟู อายุ 30 ปี ในวันที่ 1 กันยายน 2558 โดยทั้งคู่เป็นชาวจีน เชื้อสายอุยกูร์ ต่อมา ผู้ต้องสงสัยทั้งสองราย ถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลทหาร กรุงเทพฯ ในคดีหมายเลขดำที่ 217/58

คดีระเบิดศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ นอกจากจำเลยทั้ง 2 รายแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัย ซึ่งถูกซัดทอดอีก 2 คน คือ นายยงยุทธ พยุงวงศ์ และน.ส.วรรณา สวนสัน และเปิดเผยว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีก 17 คน ที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามตามตัวมาดำเนินคดีอยู่

การพิจารณาคดีในชั้นศาล ศาลทหารได้นัดสืบพยานหลักฐานครั้งแรกในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2559 โดย จำเลยทั้ง 2 ราย ให้การปฎิเสธในชั้นศาล ซึ่งขัดกับคำให้การในชั้นสอบสวนที่รับสารภาพ โดยจำเลยอ้างว่า ระหว่างถูกควบคุมตัว จำเลยถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกายด้วยการใช้น้ำกรอกปาก และจมูก ใช้การพูดจาข่มขู่เพื่อให้ยอมรับสารภาพ

ต่อมา อัยการทหารฟ้องจำเลยที่หนึ่งใน 10 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น 2. ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร 3. ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิด 4. ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 5. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 6. ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 7. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง 8. ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต  9. ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย และทรัพย์ของผู้อื่น และ 10. เป็นคนต่างด้าวเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฟ้องจำเลยที่ 2 ใน 8 ข้อหาแรกเหมือนจำเลยที่ 1 ทั้งนี้ คดีระเบิดท่าเรือสาทร ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจำเลยที่สอง เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ไม่ถูกส่งฟ้องในข้อหาที่ 9 และ 10

หลังจากการพิจารณาคดีติดปัญหาเกี่ยวกับล่ามแปลภาษาอุยกูร์เป็นระยะเวลานาน ในชั้นศาลทหาร จำเลยยอมรับให้ล่ามแปลภาษาอุยกูร์ จากการช่วยเหลือของรัฐบาลจีน การพิจารณาเข้าสู่การสืบพยานแล้ว แต่ล่าสุด คดีถูกโอนย้ายมาสู่ศาลอาญา กรุงเทพใต้ จึงได้มีการนัดพร้อมเพื่อตรวจพยานหลักฐานใหม่อีกครั้ง

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง