ศาลอนุมัติฝากขังสองผู้ต้องหาวางระเบิดกรุงเทพ ที่เรือนจำทุ่งสองห้อง

ในวันพฤหัสบดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวสองผู้ต้องหา ชาวนราธิวาส ที่ถูกควบคุมตัวไว้ก่อนหน้าโดยใช้อำนาจ พรก.ฉุกเฉิน ในคดีวางระเบิดในกรุงเทพ และปริมณฑล เมื่อต้นเดือนนี้ ไปขออำนาจศาลอาญาเพื่อฝากขังผู้ต้องหาในระหว่างการสอบปากคำพยานและรอหลักฐานเพิ่มเติม โดยทั้งสองถูกนำตัวไปฝากขังในเรือนจำชั่วคราวแขวงทุ่งสองห้อง หรือเรือนจำ ม.ทบ.11 ที่ย้ายมาจากที่เดิมในเขตดุสิต ขณะที่นักสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินคดีอย่างโปร่งใส เพื่อความน่าเชื่อถือในผลการตัดสินคดี

พนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ตั้งข้อหาแก่ นายลูไอ แซแง และ นายวิลดัน มาหะ ชาวรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส 4 ข้อหา คือ “อั้งยี่, ร่วมกันทำ ใช้ มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพกพาอาวุธ (ระเบิด) ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร, ร่วมกันทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว ตกใจ โดยการขู่เข็ญ”

เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งสองราย ปฏิเสธข้อหาในชั้นสอบสวน โดยในวันนี้ ทั้งสองได้ถูกนำตัวจาก สน.ปทุมวัน มายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก และถูกฝากขังที่เรือนจำชั่วคราวแขวงทุ่งสองห้อง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กล่าวว่า ทั้งสองมีพฤติกรรม ร่วมกันวางวัตถุระเบิดที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในวันที่ 1 สิงหาคม 2562 แล้วหลบหนีไป ซึ่งพบว่ามีสารระเบิด ลูกปรายเพื่อทำเป็นสะเก็ด และตัวจุดระเบิด ซึ่งทำอันตรายผู้ที่สัญจรผ่านไปมาได้

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าว เกิดขึ้นในระหว่างที่มีการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่ยังมีรัฐมนตรีต่างประเทศจากสหรัฐอเมริกา จีน และรัสเซีย เข้าร่วมประชุมด้วย ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ที่ห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งพลตำรวจเอก จักรทิพย์ ชัยจินดา กล่าวว่า ได้เกิดระเบิดจริงขึ้น 9 ครั้ง ในสี่พื้นที่ ในกรุงเทพมหานครและนนทบุรี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ถึงขั้นรุนแรงรวม 4 ราย

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เผยถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ร่วมก่อเหตุลอบวางระเบิดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ว่า ศาลได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาแล้วทั้งสิ้นรวม 6 ราย ซึ่งเป็นความผิดที่มีอายุความ 20 ปี และมีอัตราโทษสูง โดยศาลได้ออกหมายจับเพิ่ม 4 ราย เมื่อวานนี้

ด้าน นางสาวพรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ ได้กล่าวแสดงความกังวลในการดำเนินคดีในบางแง่มุมว่า ยังไม่โปร่งใส เข่น ลำดับการใช้อำนาจควบคุมตัวและการตั้งข้อหา การที่ญาติไม่สามารถขอพบตัวผู้ต้องสงสัยได้ตั้งแต่ตอนแรก และการฝากขังผู้ต้องหาในพื้นที่ทหาร

“อยากเรียกร้องว่า กระบวนการยุติธรรมในคดีสำคัญๆ ถ้าหากกว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ดำเนินการกระบวนทางยุติธรรมทางอาญา โดยไม่เป็นไปในทางเดียวกันที่กำหนดให้ใช้กับบุคคลอื่นในประเทศไทย ผลของคดีจะไม่เป็นที่น่าเชื่อถือเลย... ทำอย่างไรจึงจะให้ประชาชนเชื่อมั่นในกระบวนการที่โปร่งใส” นางสาวพรเพ็ญ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

ทั้งนี้ นางสาวพรเพ็ญ กล่าวว่า ตนและทนายจะขอพบจำเลยทั้งสองรายต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีรายงานจากทางจังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายมูฮัมมัดอิลฮัม สะอิ ชาวอำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส และ นายมูฮำหมัดฮาซัน มะ ชาวอำเภอสุไหงปาดี จังหวัดนราธิวาส ไว้สอบสวนที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนหน้า จังหวัดยะลา แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดผลการสอบสวนอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ ทั้งสองถูกจับกุมได้ขณะขี่รถจักรยานยนต์ข้ามพรมแดน บริเวณด่านสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาส หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า ก่อนเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพ ทั้งสองเดินทางออกไปยังมาเลเซีย ก่อนที่จะกลับมาพร้อมด้วยกระเป๋าขนาดใหญ่ที่ต้องสงสัยว่าเป็นระเบิด

แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดเผยว่า ทั้งสองรายนี้จะเป็น 2 ใน สี่ผู้ต้องหาที่ศาลอาญาอนุมัติให้ออกหมายจับเพิ่มเมื่อวันพุธวานนี้หรือไม่

พลโทพรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้สั่งการให้มีความเข้มงวดในการตรวจสอบบุคคลเข้าออกตามด่านพรมแดนต่างๆ และจะปิดช่องทางผ่านแดนเล็กๆ ที่ไม่ถูกกฎหมายอีก 94 แห่ง ให้หมดทุกแห่ง