ในหลวงทรงรับศพผู้เสียชีวิต เหตุโคราช ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
2020.02.10
กรุงเทพฯ

ภายหลังจากจ่าทหารบกคลุ้มคลั่งยิงสังหารผู้บังคับบัญชา เจ้าหน้าที่ และประชาชน 29 ราย และบาดเจ็บอีก 58 ราย และถูกวิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันอาทิตย์นี้นั้น ในวันนี้ ญาติของผู้เสียชีวิตได้รับศพผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
โดยในตอนค่ำวันจันทร์นี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้แถลงว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงแสดงความเสียพระราชหฤทัยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้ง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานรับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์
ด้านครอบครัวของผู้เสียชีวิต ได้รับศพผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธี ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับศพเจ้าหน้าที่ ที่เสียชีวิตเพื่อประกอบพิธีทางศาสนาแล้วเช่นเดียวกัน
ด้าน พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูง ศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดเป็นเหตุรุนแรงที่สุด และไม่ได้จำกัดว่าคนร้ายเป็นทหาร หรือพลเรือน เพราะเป็นลัทธิการเอาอย่าง
“เป็นเหตุการณ์ยิงที่รุนแรงที่สุด ไทยกับอเมริกาก็เหมือนกัน มีปืนเยอะ มีอิสระเสรีมาก ไม่ช้าก็เร็วอาจมีเหตุมากเหมือนอเมริกา เหตุที่เกิดไม่เกี่ยวว่าเป็นทหารหรือพลเรือน แต่เป็นสันดานของคนร้ายที่ยิงไม่เลือกหน้า เมื่อเกิดขึ้นแล้วหยุดยาก เพราะมีลัทธิเอาอย่าง ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก” พลโทนันทเดช กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
หนึ่งในผู้เสียชีวิต คือ ด.ต.ชัชวาลย์ แท่งทอง อายุ 50 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวว่า ถูกกราดยิงจนเสียชีวิต ในขณะเข้าสกัดคนร้ายก่อนที่บริเวณวัดป่าศรัทธาราม หลังจากคนร้ายปล้นปืน และกำลังเดินทางห้างเทอร์มินอล 21 ซึ่งในตอนเย็นวันนี้ นางสาวณัฐฐา รัตนรักษ์ อายุ 33 ปี ภรรยาได้จัดพิธีรดน้ำศพ ที่วัดโพธิ์ ในเขตเทศบาลเมือง โดยจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 13 กุมภาพันธ์นี้
นางสาวณัฐฐา ได้กล่าวกับสื่อมวลชนว่า ตนเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่รู้สึกภูมิใจที่สามีปฏิบัติหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จนนาทีสุดท้าย
“ยังทำใจไม่ได้ เห็นภาพเมื่อวานก็ทรุดหนัก... ขอให้ทุกหน่วยงานเข้ามาช่วยเหลือ คนที่เป็นครอบครัวก็เสียใจทุกคน และให้กำลังใจทุกครอบครัวที่โดนเหตุการณ์ครั้งนี้ ขอให้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย” นางสาวณัฐฐา กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว
ส่วนพิธีศพของสองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกคนร้ายยิงในห้างเทอร์มินอล 21 ในตอนเช้าของวันอาทิตย์ ซึ่งได้แก่ ร.ต.อ.ตระกูล ทาอาษา ผบ.หมวด (สบ1) และ ด.ต.เพชรรัตน์ กำจัดภัย ผบ.หมู่ กองร้อยปฏิบัติการพิเศษที่ 2 กก.ต่อต้านการก่อการร้าย บก.สปพ. (อรินทราช 26) นั้น ในวันนี้ ได้มีการเคลื่อนย้ายศพมายังวัดตรีทศเทพวรมหาวิหาร เพื่อทำพิธีรดน้ำศพ โดยมีพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. คณะรัฐมนตรี และข้าราชการตำรวจ เข้าร่วมพิธีรดน้ำศพ
ซึ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กล่าวขณะร่วมงานพิธีรดน้ำศพ ที่วัดตรีทศเทพฯ ว่าได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสรุปเหตุการณ์ เพื่อป้องกันการเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันเกิดอีก พร้อมทั้งได้กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ยังไม่มีอุปกรณ์สมบูรณ์พร้อมในการปฏิบัติการ
นายแอนโธนี เดวิส นักวิเคราะห์ด้านความมั่นคง ของ Jane’s defense กล่าวว่า อย่าด่วนตัดสินเกี่ยวกับการปฏิบัติการตอบโต้ปิดพื้นที่ของกองทัพไทย
“เพราะคุณมีทหารมืออาชีพที่มีกระสุนจำนวนมาก ซ่อนตัวอยู่ในอาคารขนาดใหญ่ และยังไม่มีความชัดเจนว่า มีจำนวนคนติดอยู่ในนั้นเท่าไร ที่หน่วยกองกำลังกำลังเข้าช่วยเหลือ” เดวิส กล่าว “ใช้เวลานาน แต่ในอาคารใหญ่แบบนั้น เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเสี่ยง บุกเข้าปฏิบัติการ ซึ่งอาจพลาดและทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมาย”
เหตุกราดยิงเกิดขึ้น ในช่วงประมาณบ่ายสามของวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 เมื่อ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ทหารในสังกัดกรมสรรพวุธกระสุนที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 ค่ายสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ได้เดินทางไปยังบ้านพักของ พ.อ.อนันต์ฐโรจ กระแสร์ ผู้บังคับการกองพัน สรรพวุธกระสุนที่ 22 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา และใช้ปืนยิง พ.อ.อนันต์ฐโรจ และแม่ยายของ พ.อ.อนันต์ฐโรจ จนเสียชีวิต จากนั้น จ.ส.อ.จักรพันธ์ ได้เดินทางไปที่คลังอาวุธในค่ายสุรธรรมพิทักษ์ ใช้อาวุธปืนยิงทหารยามที่เฝ้าคลัง และขโมยปืนสงคราม เครื่องกระสุน และขับรถฮัมวี่ทหาร เข้าไปในตัวเมืองนครราชสีมา เข้าไปยังวัดป่าศรัทธารวม ใช้อาวุธปืนยิงประชาชน ตำรวจ จนได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตหลายราย ต่อมาได้เข้าไปในห้างสรรพสินค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา ยิงคนเสียชีวิต และจับประชาชนเป็นตัวประกัน
ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร จึงได้นำกำลังเข้ากันพื้นที่โดยรอบห้างฯ และจัดชุดปฏิบัติการเข้า จับกุมตัว จ.ส.อ.จักรพันธ์ และช่วยเหลือประชาชนที่ติดค้างอยู่ภายในห้างฯ โดยสามารถช่วยเหลือประชาชนออกมาได้หลายร้อยคน มีการยิงต่อสู้กับ จ.ส.อ.จักรพันธ์ เป็นระยะๆ จนกระทั่ง เวลาเก้าโมงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563 เจ้าหน้าที่แถลงว่า ได้วิสามัญฆาตกรรม จ.ส.อ.จักรพันธ์ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพื้นที่พบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งหมด 30 คน (รวมคนร้าย) และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 58 คน ซึ่งเมื่อวานนี้ พลเอกประยุทธ์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวระบุว่า สาเหตุการก่อความรุนแรง มาจากเรื่องความขัดแย้งส่วนตัวในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
คุณแก้ม (สงวนนามสกุล) คนขายของในห้างเทอร์มินอล ซึ่งประสบกับเหตุการณ์และซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะ ให้สัมภาษณ์ช่อง 3 ว่า คนร้ายยิงคนโดยไม่เลือกหน้า
“เขาเปิดมือถือ แล้วเปิดดนตรี แต่ไม่มีเสียงคนร้อง แต่เขาเปิดเพลงชิวๆ มันผิดปกติแล้ว เราตัดสินใจไม่ออกจากโต๊ะ เราอยู่ใต้โต๊ะคนเดียว ไม่กล้าออกไป เพราะคนร้ายเขาเห็นใครเขายิงดะเลย” คุณแก้ม กล่าว
นางสาวอังคณา นีละไพจิตร อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ผู้ก่อเหตุได้กระทำการคนเดียว (Lone Wolf๗ ที่เป็นลักษณะการก่อการร้ายแบบใหม่ที่โลกกำลังเผชิญ
“เป็นการก่อการร้ายลักษณะ lone wolf คือทำคนเดียว ยิงไม่เลือกเป้าหมาย หวังผลให้มีการสูญเสียในวงกว้าง... หวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา และตรวจสอบแรงจูงใจของผู้ก่อเหตุเพื่อหาทางป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต โดยเฉพาะกองทัพบก” นางสาวอังคณา กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ในวันนี้ สถานทูตต่าง ๆ ต่างได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิต เช่น สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กล่าวในแถลงการณ์ว่า ขอยืนเคียงข้างประชาชนชาวไทยในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้า ในจังหวัดนครราชสีมา เราขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อผู้ประสบภัยและเพื่อนๆ และครอบครัวของพวกเขา
ด้าน สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความ แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และครอบครัวอื่น ๆ ในเหตุกราดยิงในโคราช และในช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศกนี้ชาวจีนขอยืนเคียงข้างชาวไทยทุกคน”