กองทัพภาคที่สี่เดินหน้า “ประชารัฐร่วมใจ” หวังเปิดพื้นที่ให้ผู้เห็นต่างแสดงออก
2016.04.12
ปัตตานี

ในวันอังคาร (12 เม.ย. 2559) นี้ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ร่วมประชุมกับสื่อมวลชนและภาคประชาสังคม เพื่อช่วยกันระดมความคิดเห็น ในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้ ที่มีมานานกว่า 12 ปี และได้เน้นย้ำความสำคัญของบทบาทของคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
โดยที่ห้องประชุมกองพลทหารราบที่ 15 ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 ได้เป็นประธานในพิธีสานไมตรีกับสื่อมวลชนและกลุ่มภาคประชาสังคม ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ หน่วยงานความมั่นคง ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ร่วมชี้แจงสรุปผลการปฏิบัติงานในการพัฒนาและแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย
“วันนี้ เราต้องการคนจริงทำจริงมาร่วมทำงาน ถ้าคนพลาดเราจะแก้ที่คน ถ้านโยบายผิดหรือถูกต้องน้อย ก็แก้ที่นโยบาย ทุกอย่างอยู่ที่เราร่วมคิดร่วมทำกัน” พล.ท.วิวรรธน์ กล่าวต่อที่ประชุม
“เราต้องการคนดีมาทำงาน โดยเฉพาะกองกำลังที่มาจากภาคอื่นไม่นานก็กลับไป เหลือแต่ภาคที่ 4 ถ้าเหตุการณ์ยังไม่ยุติ ก็ต้องเพิ่มจำนวนกำลังพลอีก จะเชิญสื่อและภาคประชาสังคมมาร่วมพูดคุย ทุกๆ สองเดือน” พล.ท.วิวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติม
การพูดคุยสันติสุข
ทางด้าน พล.ต.ชินวัฒน์ แม้นเดช รองแม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า ความพยายามในการพูดคุยเพื่อสันติสุข ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2558 ได้มีความคืบหน้ามากแล้ว และยังต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนพื้นที่ และเปิดพื้นที่ให้ฝ่ายผู้เห็นต่างได้มีที่ระบายความรู้สึก ตามโครงการประชารัฐร่วมใจ
“สิ่งที่ท่านแม่ทัพเดินหน้า โครงการประชารัฐร่วมใจ คือ การสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน ด้วยงานสำคัญ คือ การคุมพื้นที่ให้เกิดความปลอดภัย คือ การเปิดพื้นที่ให้กลุ่มเห็นต่างทั้งหมด กล้าออกมาพูด กล้าออกมาแสดงความคิดเห็น กล้าออกมาระบายความเครียดที่อยู่ในใจว่าเขารู้สึกอย่างไร ต่อรัฐ และเขาต้องการอะไร” พล.ต.ชินวัฒน์ กล่าว
“ถ้าพื้นที่เดินสู่ทิศทางเดียวกัน คือ สันติสุข และปฏิเสธความรุนแรงร่วมกัน มันจะบีบบังคับให้ทุกกลุ่มกลับมาสู่กระบวนการพูดคุยทั้งหมด วันนี้ เราอาจจะต้องยอมรับความจริงว่ามีบางกลุ่มเดินความรุนแรงเต็มที่ และอาศัยเงื่อนไขบางประเด็นที่มีอยู่ในพื้นที่ ที่พี่น้องประชาชนเองก็ยังไม่เข้าใจในเงื่อนไขเหล่านั้น อ้างเงื่อนไขเหล่านั้นสร้างความรุนแรง” พล.ต.ชินวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม
พล.ต.ชินวัฒน์ กล่าวต่อไปอีกว่า ตามสถิติพบว่า ความรุนแรงที่เกิดอุปสรรคอย่างมากต่อการพูดคุยฯ คือความรุนแรงที่เกิดหลังโรงเรียนปอเนาะญีฮาดวิทยาถูกสั่งยึด เนื่องจากเป็นสถานที่ฝึกอาวุธให้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่ตนว่าความรุนแรงเป็นเหมือนไฟไหม้ฟาง ที่ลุกโชนขึ้นมาแล้วจะยุติลง
“เมื่อกระแสสังคมเข้าใจการดำเนินการของรัฐเรื่องปอเนาะญีฮาด ถ้าคนแยกความดีงาม และความชั่วร้ายของปอเนาะญีฮาดออกจากกันได้ เงื่อนไขยุติลง ความรุนแรงจะค่อยๆ เบาลง และท้ายที่สุด เชื่อว่ากระบวนการพูดคุยจะเดินต่อไปได้” พล.ต.ชินวัฒน์ กล่าว
ในวันนี้ พล.ท.นักรบ บุญบัวทอง เลขานุการคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขของไทย ได้กล่าวยืนยันแก่เบนาร์นิวส์ทางโทรศัพท์ว่า การพูดคุยสันติสุข อย่างเต็มคณะ แม้ว่าจะยังเป็นการประชุมลับอยู่ จะมีขึ้นในปลายเดือนนี้ ตามที่คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะมีเหตุรุนแรงในห้วงเวลาไม่นานมานี้ก็ตาม ทั้งนี้ คณะอนุกรรมการทางเทคนิก คณะพูดคุยฯ ได้มีการกำหนดละเอียดของหัวข้อของปัญหาที่จะตกลงว่าจะแก้ไขร่วมกัน (Term of Reference) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอาจจะมีการกำหนดพื้นที่ปลอดภัยต่อไป
ทางด้าน นางสาวลม้าย มานะการ ประธานกลุ่มผู้หญิงเพื่อสันติภาพ ได้กล่าวในที่ประชุม วันนี้ว่า “ผู้หญิงชายแดนใต้ขอเสนอให้นำประเด็นพื้นที่ปลอดภัย ขึ้นมาพูดคุยบนโต๊ะ ทั้งฝ่าย A และฝ่าย B และขออย่าให้มีการเลือกเป็นอำเภอ แต่ให้มีการใช้พื้นที่สาธารณะ กำหนดให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย