ผู้ตอบแบบสอบถามสันติภาพชายแดนใต้ 20 เปอร์เซ็นต์ มั่นใจกระบวนการในปัจจุบัน
2016.05.17
ปัตตานี

ในวันอังคาร (17 พ.ค. 2559) นี้ ผู้แทนของสถาบันทางวิชาการและองค์กรประชาสังคม 15 องค์กร ได้ร่วมกันแถลงข่าว ผลการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ (Peace Survey) ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยกับการเจรจาสันติสุข และมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ที่ไม่เห็นด้วย
การแถลงข่าวการสำรวจความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่าง ประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ จำนวน 1,559 ราย เป็นเพศหญิงร้อยละ 55 เพศชายร้อยละ 45 และเป็นมุสลิมร้อยละ 76.2 และชาวพุทธ 23.4 ในระหว่าง วันที่ 8 กุมภาพันธ์ถึง 13 มีนาคม 2559 ได้จัดให้มีขึ้นที่คณะวิทยาการสื่อสาร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ปัตตานี สมาชิกองค์กรประชาสังคม นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวนมากเข้าร่วมรับฟัง
“ผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นประชาชนทั่วไป ส่วนใหญ่สนับสนุนการใช้การพูดคุยหรือการเจรจาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ในพื้นที่ถึงร้อยละ 56.4 และระบุว่าไม่สนับสนุนเพียงร้อยละสี่” ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ กล่าว
“เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นต่อกระบวนการพูดคุยที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ว่าจะแก้ปัญหาได้สำเร็จหรือไม่ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่ารู้สึกเฉยๆ มากที่สุด คือ ร้อยละ 33 ในขณะที่ตอบว่าไม่มีความเชื่อมั่นร้อยละ 23.1 และ มีความเชื่อมั่นร้อยละ 20.6 (ที่เหลือไม่ออกความเห็น)” ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวเพิ่มเติม
ในระยะยาว มีผู้ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ 51 ที่มีความหวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า กระบวนการพูดคุยที่ต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพในที่สุด
การสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะสะท้อนเสียงของประชาชนในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และอีกสี่อำเภอของจังหวัดสงขลา ว่ามีความคิดเห็นและความรู้สึกอย่างไรต่อกระบวนการสันติภาพจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานีที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาล กลุ่มขบวนการต่อสู้ปาตานีหรือกลุ่มผู้ที่เห็นต่างจากรัฐ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสาธารณชนได้รับรู้ความต้องการของประชาชน ซึ่งจะเป็นข้อมูลสำคัญในการกำหนดทิศทางการแก้ไขปัญหาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การสำรวจครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการร่วมงานขององค์กรทางวิชาการ และองค์กรประชาสังคม 15 หน่วยงาน และผ่านการมีส่วนร่วมกับหลายฝ่าย ตั้งแต่การคิดโจทย์คำถามร่วมกันไปจนถึงลงสนามเก็บข้อมูลในพื้นที่ มีการสุ่มตัวอย่างโดยละเอียดลงลึกไปถึงระดับครัวเรือน
ความพึงพอใจกับกระบวนการพูดคุย
ส่วนภาพรวมของความพึงพอใจกับความก้าวหน้าของกระบวนการพูดคุย พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกเฉยๆ กับความก้าวหน้า ร้อยละ 39.8 พอใจร้อยละ 22.2 และไม่พอใจ ร้อยละ 12.2
อย่างไรก็ดี ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า กระบวนการพูดคุยว่ามีผลทำให้บรรยากาศและสภาพแวดล้อมในชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นถึงร้อยละ 46.6
ผลการสำรวจยังพบว่า ประชาชนมีข้อกังวลต่อกระบวนการพูดคุยสันติภาพ/สันติสุขที่กำลังดำเนินอยู่ในประเด็น 5 อันดับแรก คือ 1. กระบวนการพูดคุยไม่สามารถหยุดความรุนแรงได้จริง ร้อยละ 61.8 2. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามที่ตกลงกัน ร้อยละ 60.9 3. สถานการณ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิม ร้อยละ 58.6 4. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่รับฟังความต้องการของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ร้อยละ 54.8 และ 5. ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ให้เกียรติกัน ร้อยละ 53.8
แต่ถึงจะมีข้อกังวลข้างต้น น่าสนใจว่ามีผู้ตอบแบบสอบถามถึงร้อยละ 51 ที่มีความหวังว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า กระบวนการพูดคุยที่ต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อตกลงสันติภาพในที่สุด
ข้อเสนอต่อรัฐบาล
สำหรับข้อเสนอที่ต้องการให้รัฐบาลและขบวนการต่อสู้ ได้พูดคุยกันในขณะนี้ มีผู้เลือกตอบในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่จำนวนมากที่สุดเป็นลำดับแรก ตามมาด้วยการแก้ไขปัญหายาเสพติด และการพัฒนาการศึกษาตามลำดับ ในขณะที่ประเด็นเร่งด่วนที่ทุกฝ่ายต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดผลในทางบวกต่อการแก้ปัญหา ได้แก่ 1. การแก้ไขปัญหายาเสพติด ร้อยละ 77.9 2. การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน ร้อยละ 74 3. การปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และการเยียวยาให้มีความเป็นธรรม ร้อยละ 62.2 4. การหลีกเลี่ยงการก่อเหตุความรุนแรงกับเป้าหมายอ่อน ร้อยละ 59.1 5. ตั้งคณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่ายในการตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรง ร้อยละ 57.9
ส่วนข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการบริหารปกครองนั้น การสำรวจพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามที่ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 61.7 เห็นว่าหากต้องการจะแก้ไขปัญหาและสร้างสันติภาพ/สันติสุขที่ยั่งยืน จำเป็นต้องพูดถึงรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมกับพื้นที่ โดยส่วนใหญ่อยากเห็นรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจด้วยโครงสร้างการปกครองที่มีลักษณะเฉพาะของพื้นที่นี้ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ร้อยละ 26.5 รองลงมาคือรูปแบบที่มีการกระจายอำนาจมากขึ้นด้วยโครงสร้างการปกครองที่เหมือนกับส่วนอื่นๆ ของประเทศ ร้อยละ 22.2
ส่วนรูปแบบที่ผู้ตอบแบบสอบถามไม่อยากได้ คือ รูปแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ร้อยละ 25.1 และรูปแบบที่เป็นอิสระจากประเทศไทย ร้อยละ 22.9