ศาลตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ไซซะนะ แก้วพิมพา
2018.03.20
กรุงเทพฯ

ในวันอังคารนี้ ศาลอาญาพิพากษาให้ประหารชีวิตนายไซซะนะ แก้วพิมพา จากความผิดฐานเกี่ยวกับการค้ายาเสพติด ก่อนลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากนายไซซะนะรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ผู้พิพากษาได้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อย.1642/2560 ซึ่งพนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไซซะนะ แก้วพิมพา อายุ 43 ปี พ่อค้ายาเสพติดชาวลาว ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันนำเข้ายาบ้าซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 65, 66 และ 100/1 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 4-5, 8, 14
“จำเลยกับพวกซึ่งอยู่ที่ สปป.ลาว ร่วมกันทำหน้าที่จัดหายาเสพติด รวมทั้งรถยนต์สำหรับซุกซ่อน และรถยนต์นำทางในการขนลำเลียงยาเสพติด โดยมีพวกของจำเลยที่อัยการได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลอาญาไว้แล้วรวม 6 คน ร่วมกระทำผิดในการทำหน้าที่ขับรถรับยาเสพติดจาก สปป.ลาว เข้ามาในประเทศไทยเพื่อส่งต่อ พวกจำเลยได้มีการขับรถนำทาง และสำรวจเส้นทางเพื่อตรวจสอบว่ามีด่านของเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่ ก่อนที่จะประสานติดต่อกันเพื่อส่งมอบยาให้กับเครือข่ายยาเสพติดทางภาคใต้ของไทย และประเทศมาเลเซียต่อไป” คำพิพากษาตอนหนึ่งระบุ
“การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ฐานสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด จำหน่ายยาเสพติด และนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษบทสูงสุดฐานนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในราชอาณาจักร ให้ประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษ 1 ใน 3 ให้จำคุกจำเลยตลอดชีวิต” ส่วนหนึ่งของคำพิพากษา
ทนายของนายไซซะนะ กล่าวว่า จะยื่นอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด
“ก็ต้องอุทธรณ์นะ ก็คงต้องอุทธรณ์ รอคัดคำพิพากษาและรอคัดคำเบิกความของพยานโจทก์ จำเลยเอามาดู กฎหมายให้เวลาสามสิบวัน แต่สามารถยื่นขอยืดระยะเวลาอุทธรณ์ได้” นายวรากร พงศ์ธนากุล กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว
การจับกุมตัวนายไซซะนะนั้น สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2559 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมขบวนการยาเสพติด พร้อมของกลางเป็นยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดหนองคาย โดยผู้ถูกจับกุมได้ให้การต่อเจ้าหน้าที่ว่า ได้ลักลอบขนยาเสพติดมาจากประเทศลาว และมีนายไซซะนะ แก้วพิมพา นักธุรกิจชาวลาวเป็นผู้รู้เห็นกับการกระทำผิดครั้งนี้ด้วย จึงได้มีการยื่นฟ้องนายไซซะนะ และออกหมายจับ
กระทั่งในวันที่ 19 มกราคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติด และป.ป.ส.ร่วมกันจับกุมตัวนายไซซะนะได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ โดยจากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เชื่อว่า นอกจากนายไซซะนะแล้ว ยังมีผู้ร่วมขบวนการยาเสพติดของนายไซซะนะอีกจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
นอกจากนี้ยังเชื่อว่า เครือข่ายยาเสพติดของนายไซซะนะมีความเชื่อมโยงกับ นายอุสมาน สแลแมง หัวหน้าขบวนการยาเสพติดในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เคยหลบหนีไปซ่อนตัวอยู่ในประเทศลาว ช่วงปี 2555 และเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้
นอกจากคดีที่ถูกตัดสินในวันอังคารนี้ นายไซซะนะยังมีคดียาเสพติดอีก 1 คดี ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา คือ คดีหมายเลขดำ อย.2833/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายไซซะนะ นายชุมพร พนมไพร อายุ 43 ปี และนายรัชพลหรือกิมเล้ง รัฐสพลพกรณ์ อายุ 29 ปี ทั้งสองซึ่งเป็นชาวจังหวัดอุดรธานี เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ร่วมกันมียาบ้า ซึ่งเป็นยาเสพติดประเภท 1 ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากการกระทำผิดในวันที่ 23 กรกฎาคม 58 ถึง 30 ธันวาคม 59 จากการร่วมกันมียาบ้า 3,381,400 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย พร้อมเงินอีก 144 ล้านบาท ซึ่งอัยการได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2560
การจับกุมยาเสพติดมีเพิ่มมากขึ้น
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานปราบปรามยาเสพติด ได้แถลงข่าวจับกุมขบวนการลักลอบขนยาเสพติดข้ามชาติ ขณะกำลังลำเลียงยาเสพติดหลายชนิด มูลค่ารวมกันมากกว่า 859 ล้านบาท ผ่านชายแดนทางภาคใต้ของประเทศไทยไปยังประเทศมาเลเซีย ในห้วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีจุดหมายปลายทางที่ทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกา เนื่องจากยาเสพติดที่ผลิตโดยกลุ่มว้า ทางตอนเหนือของพม่าเป็นที่ต้องการของตลาดโลก
“ของที่จับได้นี้จะถูกส่งไปประเทศมาเลเซียทั้งหมด กลุ่มก่อการฯ ทางชายแดนใต้ (ของประเทศไทย) เป็นแค่ผู้ดูแล เป็นเจ้าของพื้นที่ที่ช่วยให้ผ่านไป แล้วนำไปพักไว้ที่มาเลเซีย เพราะมีเกาะเยอะ เพื่อสามารถนำออกไปทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาได้” พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์
การรายงานการสืบสวนจับกุมพบว่า ผู้ต้องหาซึ่งเป็นคนจังหวัดปัตตานี จำนวน 3 คน ได้ขับรถบรรทุกลำเลียงของกลางเป็นเฮโรอีนจำนวน 304 กิโลกรัม และ ยาบ้าประมาณ 550 เม็ด พร้อมด้วยอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ตามเส้นทางถนนสาย ปัตตานี ผ่านแยก อ.ปะนาเระ มุ่งหน้าไป จ.นราธิวาส แต่ถูกสกัดจับที่ด่านตรวจบาเจาะ ก่อนที่จะไปถึงท่าเรือตากใบ เพื่อข้ามไปยังประเทศมาเลเซีย
“ยิ่งจับยิ่งออกมา เพราะมันดูตลาดล่างว่าถูกสกัดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีกองทัพมดลำเลียงออกมาให้มากขึ้น... และตั้งแต่อเมริกาประกาศว่า คิงส์โรมันเกี่ยวข้องกับยาเสพติด สังเกตได้ว่าเริ่มมีการสต็อกเฮโรอีน แสดงว่า เฮโรอีน เป็นที่ต้องการมากและดีมานด์ขนาดนี้ แสดงว่าปลายทางต้องการเยอะ” พล.ต.ท.สมหมาย กล่าว
ทั้งนี้ แหล่งข่าวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ บก.ปส. ระบุว่า การจับกุมขบวนการลักลอบขนเฮโรอีนครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างความเสียหายทางธุรกิจยาเสพติดได้มาก ทำให้นายทุนสุญเสียเงินจำนวนมาก
สถิติการจับกุมยาเสพติด ในปีงบประมาณ 2559 สามารถจับกุมได้ 456 คดี ยึดทรัพย์ได้ 346.67 ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณ 2560 จับกุมได้ 453 คดี ยึดทรัพย์ได้ 345.65 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2561 (1 ต.ค. 60–12 มี.ค. 61) จับกุมได้ 900 คดี ยึดทรัพย์สินได้ 39.50 ล้านบาท ไม่นับรวมมูลค่ายาเสพติดของกลางที่ บช.ปส. ยึดได้ระหว่างวันที่ 1 ต.ค.60–12 มี.ค.61 อีก 3,270,298,900 ล้านบาท