คดีระเบิดราชประสงค์นัดสืบพยานโจทก์ปากแรกนัดสอง

ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2016.11.16
กรุงเทพฯ
TH-suspects-truck-620 เจ้าหน้าที่ มทบ. 11 นำตัวนายอาเด็ม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู ด้วยรถยนต์มาขึ้นศาลทหาร ในวันที่ 16 พ.ย. 2559
เบนาร์นิวส์

ในวันพุธ (16 พ.ย. 2559) นี้ ตุลาการศาลทหารนัดสืบพยานโจทก์ปากแรกนัดที่สอง โดยพยานระบุว่า จำเลยทั้งสองได้รับสารภาพในชั้นสอบสวนว่าเป็นผู้ร่วมกันวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม และท่าเรือสาทรจริง

พ.ต.ท.สมเกียรติ พลอยทับทิม พนักงานสอบสวนชำนาญการพิเศษ สำนักงานตำรวจภูธรลุมพินี ได้ให้การต่อศาลต่อจากเมื่อวาน โดยได้กล่าวต่อศาลเกี่ยวกับขั้นตอนการเตรียมการของจำเลยที่หนึ่งและสอง ในการวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าเรือสาทร พร้อมทั้งมอบเอกสารสำคัญเป็นหลักฐานให้แก่ศาล ในขณะที่ฝ่ายจำเลยได้รับการแปลคำให้การของพยานเป็นภาษาอุยกูร์ โดยล่ามจากสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำราชอาณาจักรไทย

พ.ต.ท.สมเกียรติ ตอบข้อซักถามของอัยการโดยกล่าวว่า จำเลยร่วมกันกระทำผิดกับผู้ร่วมสมคบคิดอีก 15 คน ที่เหลือโดยเริ่มจากการที่ผู้สบคบคิดรายอื่นได้เช่าห้องพัก 2 ห้อง ในเดือนมกราคม และเมษายน 2557 เพื่อใช้เป็นที่พักและเก็บอุปกรณ์ และต่อมาได้จัดการซื้ออุปกรณ์และสารเคมีเพื่อประกอบระเบิดในเดือนกรกฎาคม 2558

“จำเลยที่หนึ่งและสองรับสารภาพว่าร่วมกันกระทำความผิดจริง โดยจำเลยที่หนึ่ง เป็นผู้เดินทางไปรับกระเป๋าบรรจุระเบิดจากจำเลยที่สองที่สถานีรถไฟหัวลำโพง” พ.ต.ท.สมเกียรติกล่าวต่อศาล

พ.ต.ท.สมเกียรติกล่าวเพิ่มเติมว่า ในวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ จำเลยที่หนึ่งจะนำกระเป๋าบรรจุระเบิดใบแรกไปวางที่ท่าเรือเจ้าพระยาปริ้นเซส ย่านเจริญกรุง ก่อนจะเดินทางไปที่สถานีรถไฟหัวลำโพงเพื่อรับกระเป๋าบรรจุระเบิดใบที่สองจากจำเลยที่สอง

หลังจากจำเลยที่หนึ่งรับกระเป๋าบรรจุระเบิดแล้ว ได้เรียกแท็กซี่เพื่อให้พาตนเองไปส่งยังที่หมาย แต่เนื่องจากคนขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวไม่สามารถสื่อสารกับจำเลยที่หนึ่งได้ จึงได้ไหว้วานให้เพื่อนอีกคนหนึ่งช่วยแปลคำสั่งเกี่ยวกับที่หมายที่ตนต้องการจะเดินทางไปให้

ซึ่งพ.ต.ท.สมเกียรติระบุว่า จำเลยที่หนึ่ง ได้ยื่นโทรศัพท์มือถือที่มีรูปและตัวอักษรภาษาอังกฤษกำกับว่า “Police Hospital” หรือโรงพยาบาลตำรวจ ให้ผู้แปลดู ซึ่งผู้แปลกล่าวต่อจำเลยที่หนึ่งและคนขับแท็กซี่ว่า “เอราวัณ” ทำให้คนขับรถแท็กซี่กล่าวต่อจำเลยที่หนึ่งว่า โอเค จึงได้พาจำเลยที่หนึ่งไปส่งที่ศาลท้าวมหาพรหม ซึ่งตั้งอยู่หน้าโรงแรมเอราวัณ บริเวณแยกราชประสงค์

เมื่อถึงบริเวณศาลท้าวมหาพรหม จำเลยที่หนึ่งได้ไปนั่งบริเวณเก้าอี้และวางกระเป๋าบรรจุระเบิดไว้บนเก้าอี้ ก่อนจะเดินออกจากบริเวณดังกล่าว และโดยสารมอเตอร์ไซค์ไปยังสวนลุมพินี หลังจากนั้น จำเลยที่หนึ่งได้เปลี่ยนเสื้อที่สวมใส่จากสีเหลืองเป็นสีเทา ถอดวิกผม ปลอกแขน และแว่นตาออกในห้องน้ำสาธารณะภายในสวนลุมพินี และเดินทางต่อไปยังที่อื่น

พ.ต.ท.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า ได้ทำการสอบสวนจำเลยทั้งสองภายใน มณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) โดยในการสอบสวนมีนายทหารรายหนึ่งเป็นผู้แปล และทำการสอบสวนต่อหน้าทนายความ หลังตรวจสอบข้อมูลหลักฐานนำไปสู่การยื่นขอหมายจับต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ และศาลจังหวัดมีนบุรี

ในการสืบพยานครั้งนี้ พ.ต.ท.สมเกียรติ ได้นำเอกสารประกอบด้วย ใบแจ้งความ ใบสิทธิของผู้ต้องหา แผนผังที่เกิดเหตุ ซึ่งมีลายมือชื่อของจำเลยมามอบให้ศาลเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาคดี

นายชูชาติ กันภัย ทนายจำเลย เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ว่า ตุลาการศาลทหารได้นัดสืบพยานครั้งต่อไปในวันที่ 6-7 มีนาคม 2560 โดยยังจะเป็นการสืบพยานปากแรกฝ่ายโจทก์อยู่

“สำหรับฝั่งจำเลย น่าจะใช้เวลาในการซักค้านประมาณ 3 วัน โดยสำหรับกำหนดการซักค้านนั้นจะนัดฝ่ายโจทก์ และแจ้งต่อศาล หลังจากการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น” นายชูชาติระบุ

คดีระเบิดราชประสงค์

ในช่วงค่ำของวันที่ 17 สิงหาคม 2558 ที่บริเวณศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ คนร้ายในชุดเสื้อสีเหลืองได้นำกระเป๋าซึ่งบรรจุระเบิดไปวางไว้ใต้เก้าอี้นั่งด้านในศาลท้าวมหาพรหม และจุดระเบิดซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บ 125 ราย

ในวันรุ่งขึ้น ได้เกิดเหตุคนร้ายพยายามวางระเบิดท่าเรือสาทร แต่ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

หลังจากเกิดเหตุไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน คือ นายอาเด็ม คาราดัก และนายไมไรลี ยูซุฟู ซึ่งทั้งคู่ให้การสารภาพในชั้นสอบสวน ก่อนกลับคำรับสารภาพในชั้นศาล

หลังกระบวนการสอบสวน อัยการทหารฟ้องจำเลยที่หนึ่งใน 10 ข้อหา ประกอบด้วย 1. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น 2. ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร 3. ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิด 4. ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 5. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 6. ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ 7. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง 8. ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต 9. ร่วมกันกระทำให้เกิดระเบิด จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส ได้รับอันตรายแก่ร่างกาย และทรัพย์ของผู้อื่น และ 10. เป็นคนต่างด้าวเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

ศาลฟ้องจำเลยที่สอง ใน 8 ข้อหาแรก เหมือนจำเลยที่หนึ่ง ทั้งนี้เพราะคดีระเบิดท่าเรือสาทร ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจำเลยที่สอง เดินทางเข้ามาในประเทศไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทำให้ไม่ถูกส่งฟ้องในข้อหาที่ 9 และ 10

ซึ่งแม้ในชั้นสอบสวน ทั้งคู่จะสารภาพว่าเป็นผู้มีส่วนร่วมก่อเหตุ แต่ในการสอบคำของศาลทหาร ผู้ต้องหาทั้งสองได้ให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยอ้างว่า ถูกข่มขู่ และทำร้ายร่างกายจึงจำเป็นต้องรับสารภาพ

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการในการวางระเบิดครั้งนี้ รวม 17 ราย เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้เพียงแค่สองราย ส่วนที่เหลือเจ้าหน้าที่กำลังพยายามตามตัวมาดำเนินคดีอยู่

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง