ผู้นำอิสลามเสนอรัฐขอสร้างโรงเรียนอิสลามหลังใหม่แทนปอเนาะเดิมที่ถูกยึด

ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2016.02.26
ปัตตานี
TH-islamicschool-620 นายแวดือราแม มะมิงจิ (คนที่ 4 จากขวา) พร้อมด้วยผู้นำมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ แถลงข้อสรุปกรณีรัฐยึดโรงเรียนปอเนาะ ในปัตตานี วันที่ 26 ก.พ. 2559
เบนาร์นิวส์

ในวันศุกร์ (26 ก.พ. 2559) ผู้นำมุสลิมสามจังหวัดชายแดนใต้ ได้ร่วมกันแถลงข้อสรุปถึงทางออก กรณีการที่โรงเรียนญิฮาดวิทยาถูกศาลแพ่งสั่งยึด เพราะถูกใช้ในการสอนผู้ก่อเหตุรุนแรงตั้งแต่ ปี 2547 ว่าควรใช้พื้นที่นี้สร้างโรงเรียนอิสลามหลังใหม่ขึ้นแทน

ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี (หลังใหม่) ตำบลบ่อทอง อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี คณะผู้นำองค์กรทางศาสนาจังหวัดชายแดนใต้ รวมสิบคน และร่วมแถลงถึงข้อสรุปดังกล่าวต่อสาธารณะชน โดยมี พลตรีชินวัตร แม้นเดช รองแม่ทัพภาค 4 เข้าร่วมรับฟังด้วย

นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า ตามที่มีกลุ่มเครือข่ายองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ ได้ออกมาเคลื่อนไหว และแสดงความคิดเห็นว่ารัฐบาลบังคับใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม และนำเรื่องนี้ไปขยายผล เพื่อกระตุ้นความรู้สึกร่วมว่ารัฐบาลได้ใช้อิทธิพลเข้าคุกคามโรงเรียนปอเนาะนั้น เป็นเรื่องที่ชี้นำโดยไม่ถูกต้อง

“การเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นลักษณะของการชี้นำ และบิดเบือนไปจากแก่นแท้ของความจริง ส่งผลกระทบต่อความรู้สึก และความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมอย่างกว้างขวาง” นายแวดือราแม มะมิงจิ กล่าว

“คณะผู้นำองค์กรทางศาสนา จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอสร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การหาทางออกจากปัญหาร่วมกัน การยึดที่ดินถึงแม้เป็นเรื่องอ่อนไหวและส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน แต่เจ้าหน้าที่มีความจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย เพราะเป็นการตัดสินของศาล หลังจากจำเลยไม่ขอยื่นอุทธรณ์” นายแวดือราแมกล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันอังคารที่ 15 ธันวาคม 2558 ศาลแพ่ง มีคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ฟ.26/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 ยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สิน ซึ่งเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 699 หมู่ 4 ต.ตะโละกาโปร์ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งาน 42 ตารางวา ราคาประเมิน 591,090 บาท เป็นที่ตั้งของโรงเรียนญิฮาดวิทยา หรือ "ปอเนาะญิฮาด" ซึ่ง นายดูนเลาะ แวมะนอ เป็นครูใหญ่ในขณะนั้น ให้ตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่สนับสนุนการก่อการร้าย และเมื่อถึงวันสิ้นสุด 14 กุมภาพันธ์ 2559 ทางครอบครัวแวมะนอ ได้ตัดสินใจไม่ขออุทธรณ์คดีและย้ายออกจากพื้นที่โรงเรียนญีฮาดวิทยา

นายแวดือราแม กล่าวว่า คำสั่งศาล ทำให้ที่ดินตกเป็นที่สาธารณประโยชน์ เนื่องจากเจตนารมณ์เดิมของเจ้าของที่ดิน ต้องการให้เป็นที่ก่อตั้งสถานการณ์ศึกษาแก่ลูกหลาน ทางราชการจึงจะพยายามรักษาเจตนารมณ์เอาไว้ โดยจะให้ที่ดินเป็นที่ตั้งสถานศึกษา ตามเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง เห็นว่าที่ดินดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่ใช้เพื่อประโยชน์ทางศาสนาและการศึกษา ทางราชการไม่อนุญาตให้ใช้ที่ดินเพื่อทำอย่างอื่น นอกจากเพื่อการศึกษาตามศาสนาอิสลามเท่านั้น และจะมีการตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อหารือแนวทางขับเคลื่อนงานต่อไป

พลตรีชินวัตร แม้นเดช รองแม่ทัพภาค 4 กล่าวสั้นๆ ว่า ทางการเห็นด้วยในทางออกนี้

“การแถลงวันนี้ ไม่ได้เป็นการกดดัน แต่เป็นการแก้ปัญหาภายใน และเห็นด้วยกับข้อสรุปที่คณะกรรมการอิสลามได้แถลง” พลตรีชินวัตร กล่าว

นายแวดือราแม กล่าวต่อไปว่า “คณะกรรมการพิเศษจะต้องมาจากองค์กรนำทางศาสนาในพื้นที่ และจะมีการเข้าไปทำความเข้าใจกับครอบครัว ถ้าเป็นไปได้ เราอยากให้คนที่จะมาดูแลเป็นครอบครัวแวมะนอ แต่ก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของเขาด้วย ในส่วนของฝ่ายความมั่นคง เขาก็เห็นด้วยที่จะทำแบบนี้ และได้มอบอำนาจกับองค์กรนำทางศาสนาอย่างเต็มที่ในการดูแลเรื่องนี้”

ปฏิกิริยาจากครอบครัวแวมะนอ

ด้านนายบันยาล แวมะนอ ลูกชายนายดุลเลาะ แวมะนอ อดีตครูใหญ่ โรงเรียนญีฮาดวิทยา ผู้กลายเป็นผู้ต้องหาคดีก่อความไม่สงบ กล่าวว่า ที่ดินตรงนั้นเป็นของรัฐแล้ว ตอนนี้ไม่เกี่ยวกับเขา รัฐจะเอาไปทำอะไรก็ทำไปเป็นเรื่องของรัฐไป

“ถ้ารัฐจะให้ไปดูแลทางครอบครัวก็ไม่เอา ส่วนอนาคตของครอบครัว ตอนนี้ ทางศูนย์ประสานงานช่วยเหลือครอบครัว จะมีการเรียกชาวบ้านกินน้ำชาทำบุญ วันที่ 19 มีนาคม 2559 เพื่อหางบมาซื้อที่ดินจำนวน 10 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่ในบ้านท่าด่านเหมือนเดิม ตามเจตนารมณ์ที่ชาวบ้านและลูกศิษย์ปอเนาะต้องการ” นายบันยาล กล่าว

นางติอาวอ แวดอเลาะ มารดาของยาวาฮี แวมะนอ กล่าวว่า “ทุกวันนี้ ยังปกติ สุขสบายดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง