ศรีวราห์ยืนยันคำสั่งฟ้องเปรมชัยคดีล่าเสือดำทุกข้อหา

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2018.04.06
กรุงเทพฯ
180406-TH-premchai-1000.jpg นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ ขณะรายงานตัวที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) กรุงเทพฯ วันที่ 14 มีนาคม 2561
เอพี

พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ในวันศุกร์นี้ว่า พนักงานสอบสวน จะทำความเห็นยืนยันให้อัยการสูงสุดสั่งฟ้องนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บมจ.อิลาเลี่ยนไทย ดิเวล๊อปเม้นต์ ทุกข้อหา หลังจากที่พนักงานอัยการภาค 7 มีความเห็นสั่งฟ้องเพียงบางข้อหา โดยเฉพาะข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่าที่ฟ้องลูกน้องของนายเปรมชัยเพียงคนเดียว

สำหรับ ห้าข้อหาที่อัยการสั่งไม่ฟ้องนายเปรมชัย ประกอบด้วย ข้อหาที่หนึ่ง ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากนายเปรมชัยมีใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุน ดังนั้นการกระทำจึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย ข้อหาที่สอง ร่วมกันเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และ ข้อหาที่สาม ร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับใช้ในการล่าสัตว์ป่าเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต คณะทำงานให้ความเห็นว่า กฎหมายระบุความผิดแต่ไม่ได้ระบุโทษไว้ ข้อหาที่สี่ ร่วมกันพยายามล่าสัตว์ป่า เนื่องจากนายเปรมชัยไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และข้อหาที่ห้า ร่วมกันกระทำทารุณกรรมสัตว์โดยไม่มีเหตุอันควร เนื่องจากยังไม่มีประกาศว่าเสือดำเป็นสัตว์คุ้มครอง และไม่เห็นว่าการยิงเสือดำเป็นการทารุณกรรม

“สำหรับข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่า ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า ผู้ต้องหาที่สี่ (นายธานี) เป็นคนที่พยายามล่าสัตว์ป่า เป็นความผิดของผู้ต้องหาที่สี่เพียงคนเดียว ส่วนคุณเปรมชัย นายยง นางนที ตอนเกิดเหตุกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่ คงไม่สามารถพยายามล่าสัตว์ตรงนี้ได้” นายสมเจตน์ อำนวยสวัสดิ์ อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 2 ภาค 7 ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว

“ผมยังยืนยันคำเดิม คือ เห็นแย้งทุกข้อหาที่พนักงานอัยการไม่สั่งฟ้อง โดยเฉพาะข้อหาพยายามล่าสัตว์ป่าฯ ที่ฟ้องนายธานี ทุมมาศ แต่ไม่ฟ้องนายเปรมชัย ถามว่าปืนที่นายธานียิงสัตว์เป็นปืนของใคร เจ้าของปืนก็ต้องฟ้องด้วยหรือไม่ พนักงานสอบสวนเห็นแย้งในประเด็นนี้ ด้วยความเคารพพนักงานอัยการ” พล.ต.อ.ศรีวราห์ ในฐานะหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีล่าเสือดำระบุ

ทั้งนี้ นายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และพวกรวม 4 คน ถูกเจ้าหน้าที่รักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ในจังหวัดกาญจนบุรี ควบคุมตัวพร้อมด้วยซากเสือดำและสัตว์ป่าชนิดอื่น ในระหว่างออกแคมป์ล่าสัตว์ป่า ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2561 และพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ ได้ทำสำนวนส่งให้อัยการทั้งหมด 11 ข้อหา โดยขอให้อัยการสั่งฟ้องทั้งหมด 9 ข้อหา และไม่สั่งฟ้องจำนวน 2 ข้อหา คือข้อหามีอาวุธปืน และ ข้อหาทารุณกรรมสัตว์

ต่อมานางสมศรี วัฒนไพศาล อธิบดีอัยการภาค 7 ได้พิจารณาในใบสั่งคดีให้ฟ้องนายเปรมชัย จำนวน 6 ข้อหา ในฐานความผิด ข้อหาที่ 1.ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ 2.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ 3.ร่วมกันล่าสัตว์ป่าคุ้มครองโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ 4.ร่วมกันช่วยซ่อนเร้น ช่วยพา เอาไปเสีย หรือ 5.รับไว้ด้วยประการใดๆ ซึ่งซากของสัตว์ป่าอันได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย และข้อหาที่ 6.ร่วมกันเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต

“การจะฟ้องคดีใดหรือไม่ฟ้องคดีใดเป็นเรื่องของอัยการ แต่เราต้องทำความเห็นไปให้ดีที่สุด... การเข้าไปในอุทยานฯ นายวิเชียรไม่มีสิทธิอนุญาต ประกอบกับทางรัฐเป็นผู้เสียหาย ต้องยืนยันฟ้องไป แม้ไม่มีบทกำหนดโทษ แต่ถ้าศาลอาญายืนยันว่าเป็นความผิด กรมอุทยานฯ จะมีโอกาสเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง ในส่วนของระบบนิเวศฯ ได้สูง” รอง ผบ.ตร. ระบุ

ด้านนายสมโภชน์ มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ยอมรับได้ที่พนักงานอัยการสั่งฟ้อง 6 ข้อหา เนื่องจากเป็นคดีหลักที่ครอบคลุมในการความผิด ส่วนที่เหลือถือเป็นคดีประกอบ อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาคดีหลักที่มีโทษสูงเป็นหลัก

นายสมโภชน์ กล่าวด้วยว่า กรมอุทยานฯ จะเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งอีกด้วย

“นอกจากค่าเสียหายทางอาญาเกี่ยวกับเสือดำที่ถูกยิงตายจำนวน 4.6 แสนบาท กรมฯ จะต้องดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งคู่กันไปด้วย โดยจะมีคณะกรรมการพิจารณาคำนวนค่าเสียหายต่อระบบนิเวศประกอบเพื่อดำเนินคดีต่อไป” โฆษกกรมอุทยานฯ ระบุ

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง