พลเอกประวิตร กล่าว ผู้ก่อความไม่สงบตอบโต้การติดตามจับกุมของเจ้าหน้าที่

ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2016.07.05
นราธิวาส
TH-violence-620 เจ้าหน้าที่กู้ภัยนำร่าง นาง แววตา ชาญแท้ ออกจากที่เกิดเหตุที่อยู่ตรงกันข้ามกับโรงเรียนบ้านปูโป๊ะ สุไหงโกลก วันที่ 5 ก.ค. 2559
เบนาร์นิวส์

ศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า สรุปเหตุการณ์รุนแรงในช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนรอมฎอนในปีนี้ว่า มีผู้เสียชีวิตทั้งพลเรือนและเจ้าหน้าที่ 17 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 25 ราย ในเหตุลอบยิงและวางระเบิด 31 ครั้ง

จากข้อมูลที่เบนาร์นิวส์ ได้รับจากศูนย์รับแจ้งเหตุฉุกเฉิน กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า มีการสรุปเหตุการณ์จากวันที่ 26 มิ.ย. ถึง 5 ก.ค. 2559 ซึ่งเป็นช่วง 10 วันสุดท้ายรอมฎอนว่า คนร้ายก่อเหตุยิง 11 ครั้ง เหตุระเบิด 15 ครั้ง (เป็นคาร์บอมบ์ 2 ครั้ง) เสียชีวิต 17 ราย (เป็นชาวบ้าน 14 ราย) และมีผู้บาดเจ็บ 25 ราย

นอกจากนี้ ยังเกิดเหตุปะทะกับคนร้ายหนึ่งครั้ง จนคนร้ายเสียชีวิต 2 ราย เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 2 นาย นอกจากนั้น ยังมีเหตุย่อยอื่น ๆ เช่น การวางวัตถุต้องสงสัย และการพ่นข้อความต่อต้านรัฐบาล เป็นต้น

ในวันนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวว่า จากการพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 4 สถิติการเกิดเหตุในสามจังหวัดชายแดนใต้โดยรวม เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ไม่ได้มากขึ้น แต่ช่วงเดือนรอมฎอนมีการตอบโต้เจ้าหน้าที่ที่รุกคืบจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยมากขึ้น

“แต่ในห้วงเดือนรอมฎอน ยอมรับว่าเหตุมากขึ้นกว่าเดิม เพราะเป็นผลมาจากการที่เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ก่อเหตุได้มากขึ้น ทั้งไล่จับจากบนเขาลงมา และการปะทะในพื้นที่ ซึ่งเป็นธรรมดาที่ผู้ก่อเหตุจะต้องสร้างสถานการณ์ขึ้น” พล.อ.ประวิตร กล่าว

หากเทียบสถิติ ช่วงเดียวกัน เมื่อ ปี 2557 มีเหตุรุนแรงในห้วง 10 วันสุดท้ายของเดือนรอมฎอน รวมทุกประเภท ยิง-เผา วางเพลิง ก่อกวน รวม  22 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ราย บาดเจ็บ 74 ราย ส่วนปี 2558 มีเหตุรุนแรง 50 ครั้ง เสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 33 ราย และในปี 2559 รวมเกิดเหตุรุนแรงทั้งหมดได้ 31 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 17 ราย บาดเจ็บ 25 ราย

ทั้งนี้ ชาวมุสลิม ได้เข้าสู่การถือศีลอดเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมานี้ และมีกำหนดการละศีลอด และฉลองเทศกาลฮารีรายอ ในวันพุธที่ 6 กรกฎาคม นี้

พล.ท.วิวรรธน์ ปฐมภาคย์ แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนร้ายได้กระทำต่อผู้บริสุทธิ์ รวมถึงขัดขวางการปฏิบัติศาสนกิจของชาวมุสลิม เพื่อหวังตอบโต้เจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นสิ่งไม่สมควร เพราะผิดจากหลักศาสนาไปมาก

“ฝากไปยังผู้ต้องการจะกลับตัว สามารถติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ได้ตลอดเวลา” พล.ท.วิวรรธน์ กล่าวผ่านสื่อมวลชนในวันนี้

เหตุรุนแรงนับจากวันเสาร์ที่ผ่านมา

เหตุรุนแรงนับจากวันเสาร์ ถึงวันอังคารในสามจังหวัดชายแดนใต้นี้ ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่และราษฎรเสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 8 ราย ส่วน ผู้ก่อความไม่สงบเสียชีวิต 2 ราย จากการปะทะกันกับเจ้าหน้าที่

ในก่อนเที่ยงของวันเสาร์ (2 ก.ค.) นี้ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 46 ได้สนธิกำลังกับหน่วยอื่นๆ เข้าตรวจค้นบ้านไม่มีเลขที่ในหมู่ 4 บ้านอูยิ ต.ลาโละ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส ได้เกิดปะทะกับสมาชิกกลุ่มผู้ก่อการร้าย จนเสียชีวิต 2 ราย คือ 1. นายอับดุลอาแซ ซิกะ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 240/1 ม.1 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และใกล้ศพพบอาวุธปืนเอ็ม-16 หนึ่งกระบอก พร้อมเครื่องกระสุน จากการตรวจสอบประวัติในเบื้องต้น พบว่าผู้ตายมีหมายจับ ป.วิอาญา ก่อคดีความมั่นคง จำนวน 3 คดี และ 2. ชายไม่ทราบชื่อ ในเบื้องต้นคาดว่าเป็น นายอาลี สุหลง ซึ่งใกล้ศพพบอาวุธปืนอาก้าหนึ่งกระบอก

ในตอนเย็นของวันเดียวกัน ได้เกิดเหตุระเบิดรถทหารสังกัดกรมทหารราบที่ 151 พัน 2 ค่ายกัลยานิวัฒนา ในขณะเดินทางบนถนนเพชรเกษม ปัตตานี-นราธิวาส ในพื้นที่ตำบลยี่งอ นราธิวาส เป็นเหตุให้ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 นาย คือ 1. พลทหารอาทิตย์ นวลกุ้ง 22 ปี ถูกสะเก็ดระเบิดที่แขนขวา และ 2. พลทหารไพรัตน์ คำทอง ถูกสะเก็ดระเบิดเฉี่ยวที่แขนซ้าย

ในวันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม ได้เกิดเหตุยิงชาวบ้านเสียชีวิตหนึ่งราย และบาดเจ็บสาหัสอีกหนึ่งราย เหตุเกิดในร้านขายของชำ ใกล้โรงเรียนบ้านไพรวัลย์ ในอำเภอตากใบ นราธิวาส ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ นางฉวี แก้วมัง อายุ 53 ปี ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คือ นางมัลลิกา อุ่นภา อายุ 46 ปี เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ คนร้ายได้กดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยอีกสองราย คือ พ.ต.ท.วีรยุทธ์ ตาสีพัน รอง ผกก.ปราบปราม สภ.ตากใบ และ ร.ต.ท.การียา ตีมง รอง สวป.สภ.ตากใบ

ส่วนในวันนี้ (5 ก.ค. 2559) เหตุระเบิดขึ้นบริเวณข้างฐานปฏิบัติการ หน่วยปฏิบัติการพิเศษ ปัตตานี ด่านเกาะหม้อแกง ริมถนนสาย 42 ม.7 ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นทางหลักเข้าสู่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ แรงระเบิดส่งผลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เสียชีวิต 1 นาย คือ ส.ต.ท.ธานี แสงสุวรรณ และได้รับบาดเจ็บ 3 นาย คือ ส.ต.ท.จตุพล ศรีอินทร์ อายุ 26ปี ถูกสะเก็ดระเบิดบริเวณต้นขาซ้าย ส.ต.ท.ณัชพล ชูหนู อายุ 28 ปี มีอาการปวดต้นคอ และมีบาดแผลถูกไฟไหม้บริเวณแขนทั้งสองข้าง และ ส.ต.ท.อนุชา แตงฉ่ำ อายุ 29 ปี บาดแผลฉีกขาด บริเวณที่แขนซ้ายและมีรอยช้ำบริเวณหน้าท้อง ทั้งหมดถูกนำส่งโรงพยาบาล ค่ายอิงคยุทธบริหาร

พ.ต.อ.วสันต์ พวงน้อย ผู้กำกับสถานีตำรวจหนองจิก กล่าวว่า “เป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่”

ในวันเดียวกัน ที่ริมถนนตรงกันข้ามกับโรงเรียนบ้านปูโป๊ะ ม.4 ต.มูโน๊ะ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงหญิงสาวเสียชีวิต พร้อมโปรยใบปลิวว่า เป็นการสังหารเพื่อแก้แค้นเหตุการณ์ที่ผู้ก่อเหตุกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ได้ใช้ปืนเอ็ม. 79 ยิงใส่มัสยิด ที่อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม นี้ ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บสามราย

ร.ต.อ.สรชัย หนูหมอก รองสารวัตรสอบสวน สภ.มูโน๊ะ กล่าวว่า ผู้เสียชีวิตคือ นางแววตา ชาญแท้ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 155/4 ม.3 ต.พร่อน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนพกสั้นโดนแผ่นหลัง แขนขวา ศีรษะ จำนวน 3 นัด

เศษกระดาษเขียนเป็นข้อความภาษาไทย มีใจความว่า “นี่คือการล้างแค้นสำหรับชาวบ้านบันนังสตา ที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐยิง เอ็ม.79 เข้ามัสยิด”

นานกว่าทศวรรษแล้ว ที่เหตุรุนแรงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้เกิดขึ้นมา ซึ่งส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ตำรวจ มักจะกล่าวโทษว่าเป็นฝีมือของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน แต่กลุ่มกองกำลังต่างๆ ที่หลบซ่อนในที่มืด กลับไม่เคยออกมาแสดงความรับผิดชอบหรือออกมาปฎิเสธ แต่อย่างใด

ผู้ที่คุ้นเคยกับสามจังหวัดชายแดนใต้กล่าวว่า ขบวนการอาชญากรรมในพื้นที่ก่อความวุ่นวายให้เกิดบรรยากาศน่ากลัว เพื่อที่จะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าหน้าที่ ให้ไประมัดระวังเรื่องความมั่นคงและอื่นๆ

พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า ความรุนแรงโดยกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบในพื้นที่ ปัจจุบันมีแค่ 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง