ศาลรธน. ชี้ ธรรมนัสเป็น รมต.ต่อได้ แม้เคยติดคุกในออสเตรเลีย

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2021.05.05
กรุงเทพฯ
ศาลรธน. ชี้ ธรรมนัสเป็น รมต.ต่อได้ แม้เคยติดคุกในออสเตรเลีย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พูดกับผู้สื่อข่าว หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่กรุงเทพฯ วันที่ 10 กันยายน 2562
รอยเตอร์

ในวันพุธนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ต่อไปได้ แม้จะเคยถูกจำคุกจากคดียาเสพติดที่ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2536 โดยชี้ว่า คำตัดสินในต่างประเทศไม่สามารถบังคับใช้ในประเทศไทยได้

ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อ่านคำวินิจฉัย เมื่อเวลา 15.00 น. กรณีที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ร้องขอให้ศาลวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรคหนึ่งและมาตรา 170 วรรคสามประกอบมาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพของ ร.อ.ธรรมนัส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98 (10) และความเป็นรัฐมนตรีของ ร.อ.ธรรมนัส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4 ) ประกอบมาตรา 160 (6 ) และมาตรา 98 (10) หรือไม่

“ก่อนผู้ถูกร้องสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกร้องรับว่า ตนเคยต้องคำพิพากษาว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย… แม้ข้อเท็จจริงในคดีฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเคยต้องคำพิพากษาของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย ก่อนสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่มิใช่คำพิพากษาของศาลไทย” นายนภดล เทพพิทักษ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าว

“ผู้ถูกร้องจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) สมาชิกภาพสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องตามรัฐธรรมนูญไม่สิ้นสุดลง เมื่อผู้ถูกร้องจึงไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (10) จึงไม่มีเหตุทำให้การเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160(6) ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องไม่สิ้นสุดลงเฉพาะตัว” นายนภดล ระบุ

การอ่านคำวิจิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญวันนี้ นายชวน ผู้ร้องได้ส่ง นายเจษ อนุกูลโภคารัตน์ ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานประสานการเมืองและรับเรื่องราวร้องทุกข์ สำนักงานประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้แทนมาศาล ฝ่ายผู้ถูกร้อง ได้มอบหมายให้ นายบุญชัย บุญกูล ทนายความเป็นผู้แทนมาศาล โดย ร.อ.ธรรมนัส มิได้เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยด้วยตัวเอง และมิได้ให้สัมภาษณ์หลังจากนั้น

กรณีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อเดือนกันยายน 2562 หนังสือพิมพ์ เดอะ ซิดนีย์ มอร์นิ่ง เฮรัลด์ (The Sydney Morning Herald) ของออสเตรเลีย ได้นำเสนอบทความ ชื่อ “จากคนบาปสู่รัฐมนตรี” ระบุว่า ร.อ.ธรรมนัส เป็นบุคคลสำคัญในกระบวนการขนเฮโรอีนหนัก 3.2 กิโลกรัม เข้าประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี 2536

บทความดังกล่าว เผยแพร่คำสารภาพของ ร.อ.ธรรมนัส ต่อศาลนิวเซ้าท์เวลส์ที่ระบุว่า ร.อ.ธรรมนัส อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่หญิงสาวชาวไทยชื่อ “ภา” บรรจุยาเสพติดลงในกระเป๋าเดินทาง รวมถึงมีส่วนช่วยเหลือในการขนกระเป๋าที่มียาเสพติดข้ามเมืองไปให้ผู้ซื้อ ที่โรงแรมใกล้หาดบอดิ ในออสเตรเลีย ทำให้ศาลออสเตรเลียตัดสินจำคุก ร.อ.ธรรมนัส เป็นเวลา 6 ปี แต่ถูกจำคุกจริงเพียง 4 ปี ก่อนจะได้รับการปล่อยตัว และส่งกลับประเทศไทย

ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2563 นายชวนได้มีคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรี และสมาชิกภาพของ ร.อ.ธรรมนัส ในเรื่องดังกล่าว และศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องดังกล่าวไว้พิจารณาในเดือนเดียวกัน

ทั้งนี้ ร.อ.ธรรมนัส เคยชี้แจงต่อสื่อมวลชนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ก่อนการถวายสัตย์ปฏิญานตนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่า

“ผมเดินทางเข้านครซิดนีย์ โดยถูกต้องผ่านการตรวจค้นทั้งหมด… มันเป็นเรื่องโอละพ่อ ความโชคร้ายของผม เพราะมีผู้กระทำความผิดที่ถูกจับในประเทศออสเตรเลีย อยู่ในสถานที่ผมอยู่ในเหตุการณ์ด้วย คนไทย 2 คน ถูกแจ้งข้อหาว่า รู้ว่ามีการขายยาเสพติด แต่ไม่แจ้งให้ตำรวจทราบ ไม่ใช่ข้อหาค้ายาเสพติด ผมเป็นคนไทยคนเดียวที่ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหามาตลอด” ร.อ.ธรรมนัส ระบุ

“ศาลตัดสินโดยอ้างว่า สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดของรัฐนิวเซาท์เวลส์ อ้างว่าเป็นเฮโรอีน 3.2 กิโลกรัมมันคือ แป้ง… ผมถูกล็อกอัพ หรือจำคุก 8 เดือน หลังจากนั้นผมถูกส่งไปอยู่ที่เมืองโอเบรอน รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นฟาร์มที่ไว้ให้นักโทษวัยฉกรรจ์ ที่ทำความผิดลหุโทษไปทำงานในฟาร์ม ผมอยู่ในฐานะที่เรียนด้านการทหาร เขาให้ไปฝึกเด็กและให้ไปทำงานในฟาร์ม ผมไม่ได้ถูกขังในเรือนจำ” ร.อ.ธรรมนัส ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563

หลังทราบคำพิพากษา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ เขียนข้อความผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจส่วนตัว ระบุว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องยืนยันว่าที่ ร.อ.ธรรมนัส ปฏิเสธมาตลอดว่า ตนเองไม่เกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด และไม่เคยติดคุกเป็นเรื่องโกหก

“เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่ธรรมนัสจะขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีจะมีความสง่างามได้อย่างไร จะได้รับความเชื่อถือจากประชาชนได้อย่างไร หากมีรัฐมนตรีที่โกหกซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องคอขาดบาดตายอย่างการพัวพันกับการค้ายาเสพติด คำวินิจฉัยในวันนี้จะเป็นบรรทัดฐานใหม่ในสังคมไทยใช่หรือไม่ ว่าไม่ว่าจะเป็นอาชญากรหรือนักโทษมาจากไหน แต่ประเทศไทยจะเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เป็นรัฐมนตรีได้เสมอ ตราบใดที่ไม่ได้ต้องคดีในไทย” นายธนาธร ระบุ

ขณะเดียวกัน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังกับผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

“เราจะมีรัฐมนตรีที่ทำผิดและเคยถูกจำคุกในคดีร้ายแรงคือ ค้าเฮโรอีนในต่างประเทศได้อย่างไร การมีรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายเรื่องนี้มาแล้วเกือบ 2 ปี เขาไม่เพียงไม่ถูกปลด แต่ยังเติบโตในหน้าที่การงาน ทั้งในพรรคและมีตำแหน่งในรัฐบาล แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลโจรอุ้มโจร รัฐบาลแบบนี้ไม่ตอบโจทย์สังคมไทย” นายชัยธวัช กล่าว

ด้าน นายฐิติพล ภักดีวานิช คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ทัศนะต่อเบนาร์นิวส์ว่า คำวินิจฉัยที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีสภาพไม่ต่างจากรัฐบาลในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

“ผลการวินิจฉัยคดีคุณธรรมนัส สะท้อนให้เห็นแล้วว่า เหตุผลของการรัฐประหารของ พลเอกประยุทธ์ และการคงอยู่ในอำนาจของรัฐบาล ไม่ได้อยู่เพื่อปฏิรูป และเปลี่ยนแปลงเมืองไทยให้ดีขึ้น อย่างที่เขากล่าวอ้างมาตลอด แต่เป็นการปกป้องผลประโยชน์ของพวกพ้อง คำวินิจฉัยนี้คล้ายว่าไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของหลักการ หรือหลักความยุติธรรมที่ควรจะเป็นจริง ๆ การที่ทหารเข้ามาอยู่ในระบบการปกครอง ไม่ได้ทำให้มันโปร่งใส หรือต่อต้านทุจริตอย่างที่เขากล่าวอ้าง” นายฐิติพล กล่าว

“เราเห็นว่า ผู้ที่เห็นต่างจากรัฐบาลจำนวนมากถูกลงโทษด้วยกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล แม้จะถูกดำเนินคดี หรือมีหลักฐานว่ากระทำผิดจริง แต่ยังไม่เคยต้องรับโทษ หรือรับผิดชอบจากการกระทำผิดที่เกิดขึ้น” นายฐิติพล กล่าวเพิ่มเติม

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง