นายกฯ เยือนซาอุฯ ในรอบ 30 ปี เล็งฟื้นความสัมพันธ์การทูต

ความสัมพันธ์ร้าวหลังคนไทยปล้นเพชร ทอง และอัญมณี ร่วม 20 ล้านเหรียญสหรัฐ จากวังกรุงริยาด
นนทรัฐ ไผ่เจริญ และคุณวุฒิ บุญฤกษ์
2022.01.24
กรุงเทพฯ และเชียงใหม่
นายกฯ เยือนซาอุฯ ในรอบ 30 ปี เล็งฟื้นความสัมพันธ์การทูต พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ร่วมในพิธีวางศิลาฤกษ์แท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ วันที่ 5 ธันวาคม 2564
เอเอฟพี

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเดินทางเยือนประเทศซาอุดีอาระเบียในวันอังคารนี้ เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัน หลังจากที่เคยมีประเด็นปัญหาขัดแย้งอย่างยาวนาน โดยจะนับเป็นครั้งแรกที่ผู้นำไทยเยือนซาอุดีอาระเบียในรอบ 30 ปี ด้านนักวิชาการเชื่อ การฟื้นฟูความสัมพันธ์จะส่งผลดีกับชาวไทยมุสลิม และแรงงานที่ต้องการจะเดินทางไปยังซาอุดีอาระเบีย

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลในวันจันทร์นี้ว่า กำหนดเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย มีระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2565 โดย พล.อ. ประยุทธ์ จะเดินทางพร้อมคณะตามคำเชิญของ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย

หลังจากเหตุบาดหมาง 3 ทศวรรษ จากช่วงปี 2532-2533 กรณีเพชรซาอุ ทอง และอัญมณีอื่น มูลค่า 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่แรงงานไทยโจรกรรมมาจากพระราชวัง ในกรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย, ก่อนหน้านั้นมีการสังหารนักการทูตซาอุดีอาระเบีย และต่อมา กรณีอุ้มฆ่านักธุรกิจที่เป็นสมาชิกราชวงศ์ของซาอุฯ ในประเทศไทย

“เป็นการเยือนระดับผู้นำรัฐบาลระหว่าง 2 ประเทศ ครั้งแรกในรอบ 30 ปี นายกรัฐมนตรีมีกำหนดเข้าเฝ้าและพบปะหารือกับเจ้าชายฯ เพื่อส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์ ทวิภาคีระหว่างกัน… การได้รับเชิญเยือนซาอุดีอาระเบียเป็นเรื่องที่ดีมากในรอบ 30 ปี นายกฯ มีข้อคิดเห็นอย่างไร คำตอบคือ ตั้งแต่ปี 32 ที่เกิดปัญหา ในการเยือนครั้งนี้ช่วยให้เกิดความเชื่อมั่น เพิ่มสัมพันธภาพที่ดีระหว่างกันต่อรัฐ และประชาชนเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว”​ นายธนกร กล่าว

นายธนกร ระบุว่า นอกจากนายกรัฐมนตรีแล้ว นายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายสุชาติ สมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จะร่วมเดินทางไปด้วย

ความสัมพันธ์การทูตเหินห่าง

ดร.ศราวุฒิ อารีย์ จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุป 3 เหตุการณ์สำคัญที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศคือ 1. ในปี 2532-2533 มีเจ้าหน้าที่ทูตซาอุดีอาระเบีย ถูกลอบสังหารในประเทศไทย 4 ราย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้

2. ในปี 2532 นายเกรียงไกร เตชะโม่ง ซึ่งทำงานอยู่ในพระราชวังของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด ได้ขโมยทรัพย์สินของราชวงศ์ ซึ่งรวมถึง “บลูไดมอนด์” กลับมายังประเทศไทย ต่อมา นายเกรียงไกร ถูกดำเนินคดีในฐานะลักทรัพย์ รัฐบาลไทยได้ทำการส่งคืน ทรัพย์สินที่ถูกขโมยมาให้กับราชวงศ์ซาอุดีอาระเบีย แต่กว่าครึ่งกลับเป็นของปลอม และไม่มีบลูไดมอนด์ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่สามารถตามหาเพชรดังกล่าวสำเร็จ

และ 3. ปี 2533 นายมูฮัมมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย และสมาชิกราชวงศ์ของตระกูลอัล-สะอูด หายตัวไปในประเทศไทย ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษพบว่า พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 และพวก เป็นผู้ลักพาตัวตัวนายมูฮัมมัด เพื่อไปเค้นข้อมูล แต่เกิดผิดพลาดจนทำให้นายมูฮัมมัดเสียชีวิต จึงได้ทำลายศพไป และแม้ พล.ต.ท. สมคิด จะตกเป็นจำเลย แต่กลับได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย อย่างไรก็ตาม เมื่อปี 2562 ศาลฎีกาได้พิพากษายกฟ้อง พล.ต.ท. สมคิด และพวกในคดีร่วมกันฆ่านายมูฮัมมัด

จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย มีการออกข้อจำกัดเกี่ยวกับแรงงานไทย ห้ามคนซาอุดีอาระเบียเดินทางมาประเทศไทย และลดความร่วมมือระหว่างกันจากระดับสูงมาอยู่ระดับต่ำสุด

อย่างไรก็ตาม ในปี 2557 ซาอุดีอาระเบีย ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาพบ พล.อ. ประยุทธ์ เพื่อเจรจาเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปี 2563 นายดอน ได้เดินทางไปเยือนซาอุดีอาระเบียตามคำเชิญของรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย โดยนับการเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งแรกในรอบ 30 ปี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย

ต่อการเยือนซาอุดีอาระเบียของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ นายซาไล บาวี นักวิชาการรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เห็นว่า จะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยอย่างมาก หากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ประสบความสำเร็จ

“เชื่อว่าแนวโน้มด้านแรงงานไทยในซาอุฯ จะดีขึ้น และจะเป็นผลดีกับชาวมุสลิมในประเทศไทยมาก เรื่องโควตาของชาวมุสลิมที่จะได้เดินทางไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพิธีฮัจญ์ หรืออุมเราะห์ แต่เชื่อว่า การกลับสู่ความสัมพันธ์ปกติต้องใช้เวลา ไทยอาจต้องแสดงความจริงใจต่อการพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ และคงเป็นการยากที่ความสัมพันธ์จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ภายใต้รัฐบาลทหาร” นายซาไล กล่าว

กระทรวงการต่างประเทศระบุว่า ในอดีตมีแรงงานไทยไปอาศัย และทำงานอยู่ในซาอุดีอาระเบียร่วม 3 แสนคน แต่หลังจากเกิดความขัดแย้งด้านการทูต ทำให้เหลือคนไทยอาศัยอยู่ในซาอุดีอาระเบียประมาณหมื่นคนเท่านั้น

และในทุกปี คนไทยมุสลิมจะเดินทางไปยังประเทศซาอุดีอาระเบีย เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งปี 2562 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 มี คนไทย 8,442 คน ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ และไทยยังเป็นคู่ค้าสำคัญของซาอุดีอาระเบียด้วย ปี 2564 มีมูลค่าการซื้อ-ขายสินค้าระหว่างกันประมาณ 2 แสนล้านบาท และไทยเป็นอันดับ 14 ของประเทศที่ส่งสินค้าไปขายยังซาอุดีอาระเบีย

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง