แอป “ทางรัฐ” ล่มหลังเปิดลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทวันแรก

ในวันพฤหัสบดีนี้เป็นวันแรกที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท แต่ก็ต้องพบกับปัญหาเมื่อแอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” ที่เปิดขึ้นใหม่เพื่อใช้สำหรับโครงการนี้มีปัญหาไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ประชาชนผิดหวัง เพราะคาดว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายในครอบครัว รัฐบาลให้ความเชื่อมั่น มีปัญหาแค่วันแรก 

“แอปฯ มันขึ้นว่า ขออภัยในความไม่สะดวก ไม่สามารถเชื่อมต่อระบบได้ในขณะนี้ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง คนน่าจะลงทะเบียนเยอะ ยังลงไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยลงใหม่” นายพลพิสิทธิ์ กุลยอดทองขาว วัย 42 ปี พนักงานขับรถขนส่งสินค้าจาก จ.เชียงใหม่ กล่าว

ปัญหาการลงทะเบียนโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และแอปพลิเคชันทางรัฐถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน โดยกลายเป็นกระแสบน X โดย #ทางรัฐ และ #ดิจิทัลวอลเล็ต ถูกใช้รวมกันกว่า 1 แสนครั้งและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นายพลพิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเองต้องการนำเงินจำนวนดังกล่าวเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว แม้จะรู้สึกว่ามีข้อจำกัดในการใช้เงินจากโครงการนี้จำนวนมากก็ตาม

“หวังไว้กับเงินก้อนนี้มาก เพราะจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระในครอบครัว แต่ก็มองว่าข้อจำกัดหลายอย่างเช่นรายการสินค้าที่ซื้อได้ กับการใช้จ่ายในอำเภอนั้นเป็นอุปสรรคที่สำคัญ ใช้เติมน้ำมันไม่ได้นี่ลำบากเลย เพราะเราขับรถส่งของ ทีแรกว่าจะซื้อแท็บเล็ตให้ลูกก็ซื้อไม่ได้ ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องใช้ในพื้นที่อำเภอเท่านั้น ร้านค้าเราน้อย อยากให้ขยายเป็นเขตจังหวัดจะดีมาก" พลพิสิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติม

โครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท ถูกนำเสนอต่อสาธารณชนครั้งแรกในการปราศรัยหาเสียงใหญ่ของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2566 โดยนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งในขณะนั้นเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค 

หลังจากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลมีการเปิดเผยว่าจะสามารถเริ่มโครงการนี้ได้ในช่วงต้นปี 2567 ก่อนเทศกาลสงกรานต์ กระทั่งมีการแถลงเลื่อนการดำเนินโครงการออกไปในปลายปี 2567 กระทั่งรัฐบาลแถลงข่าวเกี่ยวกับโครงการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 โดยระบุว่า จะให้ลงทะเบียนวันพฤหัสบดีนี้ 

รัฐบาลเปิดเผยว่า โครงการนี้คาดหวังให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูก ได้แก่ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากของประชาชนกับร้านขนาดเล็ก บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน 2. กระตุ้นการใช้จ่ายร้านค้าขนาดเล็กกับร้านขนาดใหญ่ 3. กระตุ้นการใช้จ่ายระหว่างร้านขนาดใหญ่ด้วยกัน สร้างโอกาสในการลงทุน และ 4. กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทวีคูณ ฟื้นฟูภาคการผลิต และสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ 

ต่อปัญหาที่เกิดขึ้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องรีบลงทะเบียนในวันแรก เพราะยังมีเวลาจนถึงกลางเดือนกันยายนนี้

“วันแรกก็เป็นธรรมดาที่ต้องขรุขระบ้าง พยายามทำให้ดีที่สุด… วันนี้ เปิดลงทะเบียนรับสิทธิวันแรก อาจจะเข้าแอปพร้อมกันหลายล้านคนครับ ท่านสามารถทยอยลงทะเบียนและยืนยันรับสิทธิได้จนถึง 15 กันยายน ใครคุณสมบัติครบ ได้รับสิทธิแน่นอนครับ ทำไม่เป็น ติดขัดปัญหา โทร 1111 ได้เลยครับ” นายเศรษฐา เปิดเผย

โครงการนี้ระบุเงื่อนไขว่า รัฐบาลจะเริ่มจ่ายเงินภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 โดยจ่ายครั้งเดียวต่อบุคคลให้กับผู้ถือสัญชาติไทยอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ณ วันที่ปิดรับลงทะเบียน มีประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 50 ล้านคน โดยจะใช้เงินจากงบประมาณของปี 2567-2568 รวมกัน 4.50 แสนล้านบาท

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ว่า การลงทะเบียนร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตวันแรก 1 สิงหาคมนี้ เริ่มขึ้นในเวลา 08.00 น. โดยหลังจากให้ลงทะเบียนเพียงหนึ่งชั่วโมงมีคนลงทะเบียนไปแล้วกว่า 2.3 ล้านคน 

“เราเปิดถึงวันที่ 15 กันยายนนี้ แต่ช่วงเช้ามีผู้มาลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก อาจทำให้เกิดความขลุกขลักนิดหน่อย ระบบไม่ได้ล่ม แต่กรณีแรกเป็นการอัปเดตแอปฯ ทางรัฐ ซึ่งปัญหาที่เจอในบางคนอาจเพราะไม่ได้เปิดออโต้อัปเดตจึงทำให้เกิดปัญหา และบางกรณีขึ้นกับรุ่นของโทรศัพท์ ซึ่งหากเกิดปัญหาขอให้ลบแอปฯ ทางรัฐก่อนแล้วโหลดใหม่” นายจุลพันธ์ กล่าว

ผู้ที่มีสิทธิรับเงินจะต้องมีรายได้ไม่เกิน 8.40 แสนบาท ในปีภาษี 2566 มีเงินฝากในธนาคารไม่เกิน 5 แสนบาท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 ไม่อยู่ในระหว่างต้องโทษจำคุกในเรือนจำ และไม่เป็นผู้ถูกระงับสิทธิในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ

“โครงการนี้คร่อมเทศกาลสำคัญ 2 เทศกาลปีใหม่และสงกรานต์ เชื่อว่ามีโอกาสที่ประชาชนจะกลับบ้านและไปใช้จ่ายที่บ้านและกระจายเม็ดเงิน วันแรกมีคนลงทะเบียนหลัก 10 ล้านคน ซึ่งปริมาณผู้ที่จะได้สิทธิราว 50.9 ล้านคน แต่สุดท้ายมาเท่าไหร่จะจัดสรรให้ได้ตามจำนวนนั้น คนลงทะเบียนวันแรกได้เท่าคนมาลงทะเบียนวันสุดท้าย ขอเพียงเป็นผู้ที่มีสิทธิที่จะได้” นายจุลพันธ์ ระบุ

ต่อโครงการเงินดิจิทัลนี้ น.ส. ศิริกัญญา ตันสกุล สส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะฝ่ายค้านยืนยันว่า การดำเนินการโครงการนี้จะไม่คุ้มค่าเพียงพอในการใช้จ่ายงบประมาณ

“เดิมที่เคยประเมินเอาไว้ว่าโครงการนี้จะทำให้จีดีพีโตได้ 1.2-1.8% จะไม่สามารถทำได้ เพราะสำนักงานเศรษฐกิจการคลังประเมินให้ใหม่แล้วเหลือเพียง 0.9% สะท้อนว่า โครงการนี้ไม่ได้มีการประเมินความคุ้มค่าอย่างรอบคอบรอบด้าน และเอกสารงบประมาณโครงการก็ไม่ได้มีการระบุตัวเลขไว้อย่างชัดเจน” น.ส.ศิริกัญญา กล่าวในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร 

สำหรับร้านค้าที่จะร่วมโครงการต้องเป็นร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งสินค้าขนาดใหญ่ ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น โดยประชาชนต้องซื้อสินค้าภายในอำเภอตามทะเบียนบ้าน และต้องซื้อแบบต่อหน้าเท่านั้นไม่สามารถซื้อออนไลน์ได้ 

นอกจากนี้ โครงการมีข้อจำกัดโดย ไม่สามารถนำเงินจำนวนดังกล่าวมาซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ กัญชา และกระท่อม ไม่สามารถนำไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ หรือซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติได้ และไม่สามารถ เบิกเป็นเงินสดได้

วิทยากร บุญเรือง ในเชียงใหม่ ร่วมรายงาน