พ่อเสี่ยงชีวิตหาตัวลูกชาย เพื่อช่วยลูกจากกลุ่มไอเอส
2016.03.07

เขาเป็นลูกที่อยู่ในโอวาทมาก เป็นนักอุดมคติที่มีอนาคตไกล แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2556
คืนวันนั้น นักศึกษาแพทย์วัย 22 ปีคนนั้น ผู้ที่กำลังเรียนแพทย์อยู่ในประเทศไอร์แลนด์ โทรศัพท์ถึงพ่อแม่ที่อาศัยในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อบอกว่าตัวเองได้เดินทางไปยังซีเรียแล้ว
พ่อของเขาบอกว่า ลูกชายได้ตกลงไปในกับดักของ “ผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิมซุนนีในอาหรับ” แล้ว
ภายในไม่กี่วัน ผู้เป็นพ่อได้ออกเดินทางไปหาตัวลูกชาย เพื่อนำตัวลูกชายกลับมา การเดินทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ได้นำเขาเข้าไปยังศูนย์กลางดินแดนของรัฐอิสลามในซีเรีย แต่การค้นหาครั้งนั้นยุติลงด้วยความโทมนัส
ผู้เป็นพ่อเล่าเรื่องนี้ให้เบนาร์นิวส์ฟัง โดยมีเงื่อนไขว่าห้ามเอ่ยชื่อคนใดในครอบครัวของเขา นอกจากนี้ ยังต้องปกปิดรายละเอียดส่วนตัวอื่น ๆ ด้วย เพื่อปกป้องครอบครัวของเขา
ผู้เป็นพ่อกลัวว่า ความสนใจของสาธารณชนจะทำให้ครอบครัวของเขาทุกข์โศกมากขึ้นไปอีก และอาจทำให้เกิดผลเสียต่อธุรกิจของเขาด้วย
แต่เขาก็อยากที่จะเล่าเรื่องราวของเขาให้ฟัง เพราะคนอื่นควรทราบเกี่ยวกับเรื่องเศร้าที่ครอบครัวของเขาประสบ และอาจเรียนรู้จากเรื่องนี้ได้บ้าง เขากล่าว
นักข่าวเบนาร์นิวส์พบกับชายผู้เป็นพ่อครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 ในเมืองฮาเตย์ ประเทศตุรกี
‘ถูกล้างสมอง’
ผู้เป็นพ่อเล่าให้ฟังว่า ลูกชายเป็นนักศึกษาแพทย์ในประเทศไอร์แลนด์ ขณะอยู่ที่นั่น เขาเริ่มทำให้แม่และพ่อของเขารู้สึกกังวล เมื่อเขาแสดงความต้องการที่จะเดินทางไปยังตะวันออกกลาง เขาอยากที่จะบรรเทาความทุกข์ยากของผู้คนที่ได้รับความเดือดร้อนจากสงคราม
"ผมให้คำแนะนำแก่ลูกว่า เพราะลูกกำลังเรียนแพทย์อยู่ วิธีที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือคนเหล่านั้นคือ การเปิดคลินิกและสถานพยาบาล และผมสัญญากับลูกว่า จะให้ความช่วยเหลือเรื่องเงิน” ผู้เป็นพ่อบอกแก่เบนาร์นิวส์ ในการสัมภาษณ์พิเศษ
"เงื่อนไขเพียงอย่างเดียวของผมคือ ขอให้ลูกเริ่มงานด้านมนุษยธรรมนั้น หลังจากที่ลูกเรียนจบแล้วเท่านั้น”
หลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อไม่ได้รับการติดต่อจากลูกชายเป็นเวลาหลายวัน จู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์มาจากซีเรีย ภายในหนึ่งชั่วโมง ผู้เป็นพ่อได้ไปแจ้งความกับตำรวจในประเทศของเขา
จากนั้น เขาเริ่มสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่บรรดากลุ่มติดอาวุธ เช่น รัฐอิสลาม (ไอเอส) ใช้ในการหลอกล่อชายหนุ่มจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และภูมิภาคอื่นในโลก ให้เข้าร่วมในลัทธิหัวรุนแรงของกลุ่ม
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2556 ตอนนั้น ไอเอสยังไม่ได้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป แต่โทรศัพท์ของลูกชายทำให้ผู้เป็นพ่อเกิดความสงสัยว่า ลูกชายของตนได้ตกลงไปในกับดักของกลุ่มไอเอสแล้ว
ในการพูดคุยทางโทรศัพท์ครั้งต่อ ๆ มา ผู้เป็นพ่อรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงและความเหินห่างที่เพิ่มขึ้นของลูกชาย
“ลูกไม่บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมีแผนอย่างไร เมื่อลูกพูดโทรศัพท์กับเรา ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า เขาถูกล้างสมองแล้วโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ลูกก็พูดจาสุภาพเสมอทุกครั้งที่โทรศัพท์มาคุยกับเรา” ผู้เป็นพ่อกล่าว
นักธุรกิจผู้เป็นพ่อจึงได้เริ่มเดินทางไปหาตัวลูกชายในซีเรีย โดยได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มติดอาวุธต่าง ๆ ที่กำลังสู้รบกับรัฐบาลซีเรีย
“ในไม่ช้า ผมได้เริ่มใช้สื่อสังคมต่าง ๆ ที่กลุ่มไอเอสและกลุ่มติดอาวุธเหล่านี้ใช้ในการเกณฑ์คนเข้ากลุ่ม ผมเริ่มใช้โปรแกรมส่งข้อความ Whatsapp, Telegram, WeChat, Facebook และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ซึ่งผมไม่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เลยในตอนนั้น” เขากล่าว
ทางอินเทอร์เน็ตนี่เองที่เขาได้ติดต่อกับองค์กรต่าง ๆ ในซีเรียและตุรกี และต่อมาไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ขอความช่วยเหลือจากองค์กรเหล่านั้นในการค้นหาตัวลูกชาย
เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ในระหว่างการคุยโทรศัพท์กัน ลูกชายของเขาสารภาพว่าได้เข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส แต่ไม่บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
“ลูกถูกแนะโดยหัวหน้าของลูกว่า ไม่ให้บอกใคร แม้กระทั่งพ่อแม่ของตัวเองว่าลูกอยู่ที่ไหน เรารู้สึกได้อย่างชัดเจนจากการคุยกันทางโทรศัพท์ว่า ลูกไม่เพียงถูกล้างสมองเท่านั้น แต่การคุยโทรศัพท์กันทุกครั้งได้ถูกดักฟังและถูกชี้แนะโดยผู้ก่อการร้ายอาหรับกลุ่มนั้นตลอดเวลา” ผู้เป็นพ่อกล่าว
เข้าสู่เขตสงคราม
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อจึงได้เดินทางไปยังซีเรียผ่านทางตุรกี ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ดินแดนแห่งความขัดแย้ง
เขาข้ามพรมแดนเข้าไปในซีเรียจากเมืองเรย์ฮานลี เมืองชายแดนในจังหวัดฮาเตย์ของตุรกี
ก่อนที่จะข้ามพรมแดนนั้น เขาได้ติดต่อกับกลุ่มต่าง ๆ ที่ลำเลียงยา อาหาร ความช่วยเหลือ อุปกรณ์ และพัสดุให้แก่บรรดากลุ่มติดอาวุธในประเทศซีเรีย หนึ่งในกลุ่มเหล่านั้นตกลงที่จะยอมให้เขาเข้าไปในซีเรียด้วย
“ผมปักหลักอยู่ที่จุดผ่านแดนบับอัลฮาวา ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่ไกลนักจากพรมแดน และพักอยู่ในคลังสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ผมได้รับการบอกว่า นี่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดแห่งหนึ่งในซีเรีย” เขาหวนคิด
ภาพถ่ายคลังสินค้าที่จุดผ่านแดนบับอัลฮาวา ที่ซึ่งผู้เป็นพ่อพักอยู่ในระหว่างการค้นหาตัวลูกชายในซีเรีย ธันวาคม พ.ศ. 2556 [ภาพพิเศษสำหรับเบนาร์นิวส์]
บรรดาชายที่ไปด้วยกันกับเขาต่างก็ติดอาวุธด้วยกันทั้งนั้น
“ผมรู้ว่าผมอยู่ภายใต้การคุ้มครองที่ดี แต่ในซีเรีย ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”
เมื่อเขาพบกับกลุ่มนั้นเป็นครั้งแรก เขาได้จ่ายเงินจำนวน 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่สมาชิกของกลุ่ม เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเขาค้นหาตัวลูกชาย
แต่ต่อมา คนเหล่านั้นได้คืนเงินให้แก่เขา เขาตกตะลึงและถามหัวหน้ากลุ่มว่า เพราะเหตุใดจึงคืนเงินแก่เขา
“และคำตอบของหัวหน้ากลุ่มคนนั้นเป็นคำพูดที่งดงามที่สุด ที่ผมเคยได้ฟังมาในเวลาหลายปีมานี้ ‘คุณเป็นชาวมุสลิม เราก็เป็นชาวมุสลิม การช่วยคุณหาตัวลูกชายของคุณเป็นหน้าที่ของเรา และนี่คืออิสลามในความหมายของเรา” ผู้เป็นพ่อเล่าให้ฟัง
‘เตรียมพร้อมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด’
ผู้เป็นพ่ออยู่ในบริเวณนั้นเป็นเวลาทั้งหมดประมาณห้าสัปดาห์ โดยพักที่พรมแดนฝั่งตุรกีเป็นส่วนใหญ่
ในช่วงที่เขาอยู่ในฝั่งของซีเรีย ชายติดอาวุธที่เดินทางไปกับเขา แนะนำเขากับคนท้องที่นั้นว่าเป็น “แพทย์อาสา”
เขาอยู่ในซีเรียเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น แต่ดูเหมือนเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน
วันหนึ่ง ขณะที่พวกเขาขับรถเข้าไปใกล้เมืองอะเลปโป เครื่องบินรบของซีเรียลำหนึ่งได้ทิ้งระเบิดลงห่างจากรถของพวกเขาประมาณ 10 เมตร ผู้เป็นพ่อกล่าว
อีกครั้งหนึ่ง พวกเขาหนีรอดจากการเผชิญหน้ากับกำลังฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลอย่างหวุดหวิด
รถยนต์ของพวกเขาเกิดเสียลง ขณะอยู่บนถนนสายหนึ่งระหว่างจุดผ่านแดนบับอัลฮาวาและเมืองอะเลปโป ช่วงขณะแห่งความตึงเครียดได้เกิดขึ้น หลังจากนั้น ผู้เป็นพ่อและชายคนอื่นเดินไปยังหมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด เพื่อหาช่างซ่อมรถ
ชาวบ้านที่ถืออาวุธเข้ามาทักทายพวกเขา และให้อาหารแก่พวกเขา พวกเขาหาช่างซ่อมรถได้ แต่การซ่อมใช้เวลานานกว่าที่คาด
“หลังจากที่ทานอาหารและทำละหมาดแล้ว เราดื่มกาแฟกัน ขณะรอให้ช่างซ่อมรถของเราให้เสร็จ จู่ ๆ ชาวบ้านคนหนึ่งก็มาและตะโกนว่า กำลังของรัฐบาลซีเรียอยู่ห่างออกไปเพียง 500 เมตรเท่านั้น” ผู้เป็นพ่อกล่าว
“ทหารเหล่านั้นกำลังใกล้เข้ามาทุกที และ...ชาวบ้านผู้ถืออาวุธจากหมู่บ้านแห่งนั้นก็เตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ มีคนยื่นปืนพกให้แก่ผม แต่ผมไม่รับ เพราะผมไม่เคยใช้อาวุธมาก่อนเลยในชีวิต ผมเตรียมพร้อมรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด” เขากล่าวเสริม
ช่างซ่อมรถจนเสร็จ และพวกเขาก็ขับออกไปจากบริเวณนั้นได้ทันอย่างหวุดหวิด
‘ใกล้เหลือเกิน แต่รู้สึกอยู่ไกลมาก’
ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่เขาอยู่ภายในเขตขัดแย้ง ผู้เป็นพ่อได้พบกับกลุ่มต่าง ๆ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ในการค้นหาตัวลูกชาย
“ทุกกลุ่มให้การต้อนรับและเข้าใจคำขอร้องของผม และสัญญาว่าจะคืนตัวลูกชายให้ ถ้าลูกชายของผมอยู่ในกลุ่มของเขา แต่พวกเขาเตือนว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ถ้าลูกชายของผมอยู่ในกลุ่มไอซิส” ผู้เป็นพ่อกล่าว
เขาไปยังค่ายต่าง ๆ ของกลุ่มไอเอส เพื่อสอบถามเกี่ยวกับลูกชาย เขายังตั้งเครือข่ายสายสืบของเขาภายในท้องที่ขึ้นมาเอง โดยจ่ายเงินให้แก่สายเหล่านั้น เพื่อแลกกับข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของลูกชาย
ไม่นานหลังจากนั้น ข้อมูลที่ได้จากเครือข่ายนี้ก็ทำให้พบหลักฐานที่ชี้ว่า ลูกชายของเขาอยู่ที่ค่ายแห่งหนึ่งสำหรับนักต่อสู้ชาวยุโรปของกลุ่มไอเอส ในเมืองดาร์ตาอิซซาห์
“ผมครอบคลุมค่ายของกลุ่มไอซิสทั้งหมดจำนวนเจ็ดค่ายด้วยกัน โดยใช้วิธีที่สุภาพ” ผู้เป็นพ่อกล่าว โดยใช้ชื่อย่ออีกชื่อหนึ่งในการเอ่ยถึงกลุ่มไอเอส
“ผมยังจำได้อย่างชัดเจนในระหว่างการไปที่ค่ายสำหรับชาวยุโรปของกลุ่มไอซิส ในเมืองดาร์ตาอิซซาห์ ผมถูกบอกให้อยู่ในรถ และพวกเขาทิ้งอาวุธทั้งหมดเอาไว้ในรถ” เขากล่าว
ผู้นำค่ายนั้นไม่ยอมบอกว่าลูกชายของเขาอยู่ในค่ายนั้นหรือไม่ โดยพูดว่าไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยข้อมูลนั้น
“เมื่อมองบริเวณรอบ ๆ แล้ว มันมีลักษณะตรงกับที่ลูกชายผมบรรยายให้ฟังในการคุยกันทางโทรศัพท์ ผมรู้สึกจริง ๆ ว่าลูกชายอยู่ในค่ายนั้น
“แม้แต่หัวหน้าของคณะที่ไปกับผมก็ยืนยันว่า ลูกชายของผมอยู่ในค่ายนั้น จากการสังเกตการณ์ค่ายนั้นของเขา ลูกอยู่ใกล้ผมเหลือเกิน แต่รู้สึกเหมือนอยู่ไกลมาก” ผู้เป็นพ่อกล่าวด้วยเสียงที่สั่นพร่า
สมาชิกของคณะที่เดินทางไปด้วย กำลังคุยกับหัวหน้าของกลุ่มย่อยของกลุ่มติดอาวุธในซีเรีย [ภาพพิเศษสำหรับเบนาร์นิวส์]
ความเงียบ
ผู้เป็นพ่อติดต่อกับลูกชายเป็นระยะ ๆ ตลอดการเดินทางครั้งนี้ โดยไม่บอกลูกชายว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่วันหนึ่ง เขาก็สารภาพกับลูกชายว่า เขาอยู่ในซีเรียเพื่อตามหาตัวลูกชาย
และช่างบังเอิญเหลือเกิน เริ่มตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม พ.ศ. 2556 การสื่อสารระหว่างเขาและลูกชายก็ลดความถี่ลงเรื่อย ๆ
เมื่อไม่สามารถหาตัวลูกชายพบ เขาจึงได้ยุติการค้นหา และเดินทางกลับบ้านในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 แต่เขาคงการติดต่อกับเครือข่ายสายสืบของเขา
ตามข้อมูลที่เขาได้รับ หน่วยของไอเอสที่ลูกชายเขาเข้าร่วมด้วยนั้น ได้ย้ายเข้าไปในดินแดนของอิรัก
“ความถี่ในการคุยโทรศัพท์ลดลงเรื่อย ๆ และลูกบอกผมว่า หัวหน้าของเขาได้ยึดโทรศัพท์มือถือของเขาไป” เขากล่าว
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2557 ไม่มีการพูดคุยกันทางโทรศัพท์อีกเลย
ในเดือนสิงหาคมของปีนั้น ห้าวันก่อนสิ้นสุดเทศกาลถือศีลอด สายสืบคนหนึ่งของเขาแจ้งว่า ลูกชายของเขาถูกฆ่าตายสี่เดือนก่อนหน้านั้น ในระหว่างการปะทะกันใกล้เมืองโมซุล ในประเทศอิรัก
สายคนนี้ ซึ่งเป็นภรรยาของสมาชิกไอเอสคนหนึ่ง ยังบอกเขาว่า กลุ่มไอเอสได้เกณฑ์ให้ลูกชายของเขาไปอยู่แนวหน้า
“ผมรู้ว่าข้อมูลที่ได้รับนั้นเป็นความจริงและถูกต้อง เพราะนับตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงวันนี้ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากลูกชายเลย ผมไว้ใจแหล่งข่าวนี้ เพราะเธอบอกผมว่า เธอเก็บข้อมูลนี้ไว้กับตัวเองเป็นเวลานานเกินไป และเธอรู้สึกผิดที่ทำเช่นนั้น” ผู้เป็นพ่อกล่าว
ไม่มีประเทศใดระบุชื่อลูกชายของเขาในรายชื่อผู้ที่ถูกสังหารในซีเรียและอิรัก
รัฐบาลอิรักไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตของลูกชายของเขาได้ เมื่อได้รับการติดต่อจากเบนาร์นิวส์
ผู้เป็นพ่อกล่าวว่า เขาไม่ทราบว่ามีครอบครัวอื่นที่ลูกหายตัวไปในอิรักหรือซีเรีย เพราะไม่มีการยืนยันชะตากรรมของคนเหล่านั้นอย่างเป็นทางการ
“มันเหมือนกับวิบัติ … ลูกชายเป็นแรงดลใจของผมมาโดยตลอด และเมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น คุณคงจินตนาการได้ว่า มันจะเป็นอย่างไรสำหรับเราทุกคน” เขากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า
ในช่วงเทศกาลของชาวมุสลิมในปี 2557 ผู้เป็นพ่อได้จัดการทำละหมาดให้แก่ลูกชายที่เสียชีวิตไป ร่วมกับคนในครอบครัวในเมืองบ้านเกิดของเขา