มึนอ ภรรยาบิลลี่ให้อภัยคนร้าย แต่ขอให้ได้ความยุติธรรม

นนทรัฐ ไผ่เจริญ
2019.09.04
เพชรบุรี
190904-TH-billy-1000.jpg นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือ “มึนอ” ภรรยาของนายพอละจี รักจงเจริญ ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว ที่ใกล้บ้านพัก ในตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน หลังจากกรมดีเอสไอ ระบุว่านายพอละจี เสียชีวิตแล้ว
นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์

ในวันพุธนี้ มึนอ หรือนางพิณนภา พฤกษาพรรณ ผู้เป็นภรรยาของนายพอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งหายตัวไปเมื่อปี 2557 และกรมดีเอสไอยืนยันว่าถูกฆาตกรรม ได้เปิดเผยว่า ตนเองและลูกได้ให้อภัยกับคนร้ายที่ทำร้ายนายพอละจี แต่อย่างไรก็ตาม อยากให้ได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม

หลังจากที่กรมดีเอสไอระบุว่าเมื่อวานนี้ว่า เจ้าหน้าที่พบเศษกระโหลกที่ตรวจสอบดีเอ็นเอแล้วพบว่าเป็นของนายพอละจี หรือนายบิลลี่ แกนนำต่อสู้สิทธิทำกินชาวกะเหรี่ยง พร้อมทั้งได้ยืนยันว่านายบิลลี่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิตแล้วนั้น  ในวันนี้ ภรรยาของนายพอละจี ได้ให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว ที่ใกล้บ้านพัก ในตำบลป่าเด็ง อำเภอแก่งกระจาน และเปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า ครอบครัวให้อภัยผู้ที่ก่อเหตุแล้ว แม้หลังจากที่สามีหายไปทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ลำบากขึ้นมาก กระบวนการต่อไปก็จะให้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอ

“บางครั้งเด็กจะพูดว่าพ่ออยู่บนฟ้า บนสวรรค์ ไปสบายแล้ว แต่พอเขาก็ดูข่าว เขาก็บ่น ก็ด่าไป ตามความคิดของเด็ก ก็ต้องบอกเขาว่า คนที่ทำกับบิลลี่ เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องเอาไปจดจำ สอนให้ลูกให้อภัย เพราะเชื่อและศรัทธาในธรรมะ อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เราทุกข์ เราให้อภัยเขา จิตใจเราจะดีกว่าที่เราจะเก็บทุกข์ไว้” นางพิณนภา กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

“คนอะไรทำกันได้ขนาดนี้ จิตใจยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า ทำไมทำกันได้ลงคอ ทำไมไม่นึกถึงว่าถ้าเราทำคนนี้ไปแล้วครอบครัวเขาจะอยู่ยังไง ญาติพี่น้องจะรู้สึกยังไง รู้สึกแน่นที่อก ไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับใคร อยากรู้ว่าคนในกระบวนการที่ทำ บิลลี่ไปทำอะไรให้ ทำไมต้องเอาชีวิตบิลลี่ไป” นางพิณนภา กล่าวเพิ่มเติม

“เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมมากขึ้นนิดนึง ว่าเรายังมีโอกาสได้รับความยุติธรรมบ้าง อยากให้เจ้าหน้าที่นำคนที่อยู่ในกระบวนการนี้ ตัวจริง ที่ไม่ใช่แพะ มารับโทษตามกฎหมาย คนที่ทำไว้ก็ขอให้ได้รับตามที่ได้ทำไว้ คนที่ทำบิลลี่ อยากให้ออกมาชี้แจงให้ครอบครัวได้รับรู้” นางพิณนภา ระบุ

นางพิณนภา ระบุว่า ชีวิตของตนเองและลูก 5 คน ลำบากมากขึ้นหลังจากที่สามีหายตัวไป โดยปัจจุบัน ตนเองประกอบอาชีพทำไร่พริก และปลูกข้าว เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว และออมไว้เพื่อการศึกษาของลูก

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ดีเอสไอ แถลงข่าวว่า เจ้าหน้าที่ได้พบถังน้ำมัน ซึ่งบรรจุชิ้นส่วนกะโหลกมนุษย์ ซึ่งเมื่อตรวจพิสูจน์แล้วพบว่า ตรงกับมารดาของนายพอละจี โดยชิ้นส่วนดังกล่าว มีรอยไหม้ จึงเชื่อว่าสาเหตุการเสียชีวิตน่าจะมาจากการฆาตกรรม และนำศพมาใส่ไว้ในถังน้ำมัน เผา และนำมาทิ้งลงน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ใกล้บริเวณสะพานแขวน

ในวันนี้ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการ สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ (สบอ.) 9 อุบลราชธานี อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนายพอละจี กล่าวแก่สื่อมวลชนว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมครั้งนี้

“หากกระทำผิดร้ายแรงแบบนั้นจริงๆ การเอาศพไปทิ้งไว้ในพื้นที่แบบนั้นซึ่งเป็นที่ๆ อยู่ใกล้ตัว แล้วใครจะกล้าทำ ต่อให้ยิ่งใหญ่จากไหนก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้ น้อยใจแทนลูกน้องที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรต้องมาพลอยรับผลกับสิ่งที่ไม่รู้เรื่องด้วย” นายชัยวัฒน์ กล่าวแก่หนังสือพิมพ์แนวหน้า

"มีคนจ้องผมด้วยเรื่องนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาผมก็พิสูจน์มาแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เรื่องหนึ่งที่ขอตั้งข้อสังเกตก็คือ บริเวณสะพานที่ทางดีเอสไออ้างว่าเจอกระดูกนั้นเป็นบริเวณที่ชาวกะเหรี่ยงบางกลอย จะเอากระดูกของคนตายมาลอยอังคารกันอยู่แล้ว การตรวจโดยวิธีไมโตคอนเดรียนั้น ใช้วงเลือดมาพิสูจน์อย่างเดียวว่ากระดูกชิ้นนั้นเป็นของบิลลี่ ผมว่ามันไม่น่าจะพอ” นายชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม

นายชัยวัฒน์ระบุว่า หลังจากนี้จะเตรียมตัว หากต้องต่อสู้คดีตามกระบวนการของกฎหมาย

องค์กรสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินคดีผู้กระทำผิด

ในวันนี้ คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) และแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (Amnesty International) ได้ออกแถลงการณ์ร่วม ระบุว่า ดีเอสไอ ควรต้องพยายามมากขึ้นในการหาตัวคนผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“ดีเอสไอควรเพิ่มความพยายามมากขึ้นเพื่อระบุตัวผู้ที่กระทำการสังหารบิลลี่ และนำตัวพวกเขามาสู่กระบวนการยุติธรรม” นายเฟรเดอริก รอว์สกี ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล กล่าว

“คดีนี้สะท้อนให้เห็นความเสี่ยงอย่างแท้จริงที่นักกิจกรรมและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยต้องเผชิญ ทั้งการถูกทำร้าย ตกเป็นเหยื่อการบังคับบุคคลให้สูญหาย และการสังหาร คดีนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ถูกเพิกเฉยมานาน โดยรัฐบาลไทยต้องกำหนดให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นความผิดอาญาตามกฎหมายในประเทศ” นายนิโคลัส เบเคลัง ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิค แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล (รักษาการ) กล่าว

ที่มาที่ไปของการหายตัว

การหายตัวไปนายพอละจี เชื่อว่าเพราะเข้าไปเป็นพยานในคดีที่สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เมื่อปี 2554 ที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอย ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน (ตำแหน่งในขณะนั้น) ในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือน และทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง บริเวณตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน

บิลลี่ หายตัวไป เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 หลังจากที่ออกไปเก็บน้ำผึ้งเพื่อนำไปฝากคนรู้จัก ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลเพื่อให้การต่อชั้นศาลในวันนัดสืบพยานในเดือนถัดไป นางพิณนภา ได้ยื่นฟ้องนายชัยวัฒน์ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของสามี แต่ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าว เมื่อเดือนกรกฎาคม 2557  เนื่องจากศาลเห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะยืนยันว่านายชัยวัฒน์ ควบคุมตัวนายพอละจีไว้ในขณะนั้น

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง