นายกฯ ประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากบ้าน 22.00-04.00 น. ทั่วประเทศ
2020.04.02
กรุงเทพฯ

ในวันพฤหัสบดีนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกกำหนด ห้ามออกนอกบ้าน ตั้งแต่เวลา 22.00-04.00 น. ทั่วประเทศ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้าน ตำรวจภูเก็ต ได้จับชาวต่างชาติและหญิงไทยร่วมปาร์ตี้ยาเสพติด ขัดคำสั่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจว่า ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 แห่ง พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ออกข้อกำหนดฉบับที่ 2 เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) โดยกำหนดช่วงเวลาให้ประชาชนห้ามออกจากบ้าน โดยหากฝ่าฝืนมีโทษตามกฎหมาย โดยประกาศมีผลตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไป
“ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถาน ระหว่างเวลา 22:00 นาฬิกา ถึง 4:00 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น เว้นแต่มีความจำเป็นหรือเป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์ การธนาคาร การขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ผลผลิตการเกษตร ยาเวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ หนังสือพิมพ์ การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิง การขนส่งพัสดุภัณฑ์ การขนส่งสินค้า เพื่อการนำเข้าหรือส่งออกการขนย้ายประชาชนไปสู่ที่เอกเทศ เพื่อกักกันตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
“การเข้าออกเวรทำงานผลัดกลางคืนตามปกติ หรือการเดินทางมาจากหรือไปยังท่าอากาศยาน โดยมีเอกสารรับรองความจำเป็น หรือเอกสารเกี่ยวกับสินค้าหรือการเดินทาง และมีมาตรการป้องกันโรคตามข้อกำหนด หรือเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามข้อกำหนดประกาศ หรือคำสั่งต่างๆของทางราชการ หรือมีเหตุจำเป็นอื่น โดยได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ผู้ใดฝ่าฝืนข้อนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ตามมาตรา 18 แห่งพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวถึงความพร้อมในการรับมือสถานการณ์ที่กำลังคืบหน้าเข้ามา
“ผมขอยืนยันนะครับว่า เรามียาที่จำเป็นในการรักษาอย่างเพียงพอ แล้วก็มีแผนจัดหาเพิ่มเติมจากต่างประเทศ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจลุกลามขึ้นได้ในอนาคต นอกจากนั้น เรายังมีความพร้อมในเรื่องของเตียงสำหรับผู้ป่วย โดยเราสามารถเพิ่มศักยภาพจากโรงพยาบาลทุกสังกัด หอพัก และโรงแรม ให้พร้อมรองรับผู้ป่วยที่อาจจะเพิ่มมากขึ้น ขอให้เชื่อมั่นว่าผู้ป่วยติดเชื้อโควิดทุกคน จะมีเตียงและยาในการรักษาอาการป่วยตามมาตรฐานสากลทุกประการ” พลเอกประยุทธ์ กล่าว
ด้านการต่างประเทศ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 (ศบค.) ได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อดำเนินมาตรการการเดินทางเข้า-ออกประเทศ และการดูแลคนไทยในต่างประเทศ โดยมีการยกระดับการคัดกรองผู้เดินทางเข้า-ออกประเทศ อย่างเข้มงวด ไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เติมเข้ามาอีก
ตั้งแต่ที่ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไปแล้ว มีเพียงชาวต่างชาติที่ได้รับการยกเว้นตามข้อกำหนด เช่น คณะทูต หรือผู้ที่มีใบอนุญาตทำงานในไทย หรือลูกเรือเท่านั้นที่เดินทางเข้ามาได้ สำหรับคนไทยในต่างแดน เราก็จะไม่ทอดทิ้งลูกหลาน ญาติพี่น้องของเราเหล่านั้น เราได้หาทางแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดในโลกจะได้รับการดูแล หากต้องการกลับเมืองไทยก็จะต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง การกักตัว และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้น
อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ ต้องขอความร่วมมือให้ชะลอการเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 15 เมษายน เพื่อรักษาสุขภาพทั้งคนไทยในประเทศและท่านที่จะเดินทางกลับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่จัดระเบียบเตรียมการให้เหมาะสม หากมีความจำเป็น ขอให้ไปพบเจ้าหน้าที่สถานทูตหรือสถานกงสุลโดยทันที
จับต่างชาติ-สาวไทย จัดปาร์ตี้เสพยาเย้ยคำสั่งรัฐ
ทั้งนี้ หลังจากการประกาศ พรก.ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ยังมีรายงานการฝ่าฝืนข้อห้ามของการประกาศ เช่น การจัดงานบวช การมั่วสุมเล่นการพนัน เป็นต้น
นอกจากนั้น เมื่อค่ำวันพุธที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรป่าตอง จังหวัดภูเก็ต ได้เข้าจับกุมชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งร่วมมั่วสุมเสพยาเสพติด ฝ่าฝืนข้อกำหนดของ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่นายกรัฐมนตรีประกาศใช้เพื่อควบคุมสถานการณ์โควิด-19
“14 ราย เป็นชาวต่างชาติและคนไทย หลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย อังกฤษ ยูเครน อเมริกา เป็นต้น ได้แจ้งข้อหาครอบครองยาเสพติด และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามมาตรการควบคุมสถานการณ์โควิด-19 ในเบื้องต้นไว้ 2 ข้อหาก่อน ปัจจุบัน ถูกควบคุมตัวอยู่ที่โรงพัก สภ.ป่าตอง เพราะต้องสอบสวนเพิ่มเติม และพรุ่งนี้จะได้มีการส่งตัวไปขออำนาจศาลฝากขัง โดยคาดว่าการฝ่าฝืนมาตรการจะเปรียบเทียบปรับตามโทษสูงสุดปรับ 4 หมื่นบาท แต่เป็นอำนาจของศาล” พ.ต.อ.อกนิษฐ์ ด่านพิทักษ์ศาสน์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธร ป่าตอง กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ผ่านโทรศัพท์
พ.ต.อ.อกนิษฐ์ ระบุว่า ผู้ต้องหาเป็นชาวไทย 5 ราย ยูเครน 4 ราย อังกฤษ 3 ราย อเมริกา 1 ราย และออสเตรเลีย 1 ราย ในที่เกิดเหตุพบของกลางเป็น สุราหลายขวด เครื่องดื่มชูกำลัง รวมถึงยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) น้ำหนักรวมถุงประมาณ 0.94 กรัม, ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชาแห้งอัดแท่ง) น้ำหนักประมาณ 2.16 กรัม และ ยาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชาแห้ง) น้ำหนักประมาณ 1.88 กรัม
ยอดป่วยเพิ่ม 104 ราย ยอดตายรวม 15 ราย
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยว่า ประเทศไทยพบผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยโควิด -19 เพิ่มอีกในวันนี้
“มีคนที่หายแล้ว 505 ราย ผู้ป่วยยืนยัน 1,875 ราย มีผู้ป่วยใหม่ 104 ราย และที่น่าเสียใจ คือเสียชีวิตไป 15 ราย มีรายใหม่ 3 ราย รายที่ 1 เป็นรายที่เป็นข่าวไปเมื่อวานนี้ เป็นผู้ป่วยชายอายุ 57 ปี มีประวัติเดินทางจากสุไหงโกลกไปปากีสถาน รายที่ 2 เป็นชายไทยอายุ 77 ปี มีประวัติเป็นโรคถุงลมโป่งพอง และเบาหวาน ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปัตตานี ส่วนรายที่ 3 เป็นผู้ป่วยชายไทยอายุ 55 ปี อาชีพขับรถสาธารณะที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก็มีประวัติเดินทางขับรถไปที่จังหวัดสุรินทร์” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว
“ในรายใหม่ 104 ราย กลุ่มแรก เป็นกลุ่มที่ประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันหรือเกี่ยวข้องกับสถานที่ที่พบผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ กลุ่มนี้ 60 ราย สนามมวย 1 ราย สถานบันเทิง 10 ราย พิธีกรรมทางศาสนา อินโดนีเซีย 8 ราย ใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ 40 ราย กลุ่มสองไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ 36 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ สัมผัสกับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ไปสถานที่ชุมนุม อาชีพเสี่ยง ทำงานในที่แออัด สัมผัสกับคนต่างชาติ เป็น บุคลากรสาธารณสุข 2 ราย” นพ.ทวีศิลป์ กล่าวเพิ่มเติม
ปัจจุบันทั่วโลกมีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 กว่าล้านคนแล้ว โดยขณะรายงานเป็นจำนวน 1,002,159 คน มีผู้ติดเชื้ออย่างน้อยใน 181 ประเทศ มีผู้เสียชีวิต 51,485 คน รักษาหายแล้ว 208,949 คน ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดคือ อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส และจีน เป็นต้น
ประเทศที่มีผู้ป่วยมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา อิตาลี สเปน จีน เยอรมนี และประเทศอื่น ๆ ตามลำดับ โดยองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 อยู่ในขั้นโรคระบาดใหญ่ หรือ Pandemic แล้ว