ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรีจ่ายสินไหมทดแทนแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการซ้อมทรมาน
2015.08.21

วันนี้ที่ 21 สิงหาคม 2558 ศาลปกครองสงขลา ได้พิพากษาคดีดำ โดย นางแบเดาะ สะมาแอ ผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางละเมิดจาก กระทรวงกลาโหม เป็นจำเลยที่ 1 กองทัพบก จำเลยที่ 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 3 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 4 เป็นผู้ถูกฟ้องคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่ ได้กระทำละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้อำนาจตามกฎอัยการศึก ควบคุมตัวนายอัสฮารี สะมาแอ บุตรชายของผู้ฟ้องคดีกับพวก และได้ซ้อมทรมานทำร้ายร่างกายในระหว่างการควบคุมตัว จนเป็นเหตุให้ นายอัสฮารี สะมาแอ เสียชีวิตในเวลาต่อมา จากการอ่านคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดได้ตัดสิน ให้ผู้ถูกฟ้องคดี สำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 4 จ่ายค่าสินไหมทดแทน เป็นจำนวนเงิน 534,301 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 % นับจากวันที่ 17 ก.ค. 2551 และยกฟ้องผู้ถูกฟ้องจำเลยที่ 1, 2 และ 3
นางสาว มาซีเต๊าะ หมันหล๊ะ เจ้าหน้าที่ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวว่า “เงินจำนวนดังกล่าว ที่ศาลปกครองสูงสุด ได้ตัดสินให้ผู้ถูกฟ้องจำเลยที่ 4 สำนักนายกรัฐมนตรี จ่ายเป็นค่าสินไหมทดแทนนั้น ไม่เกี่ยวกับเงินจำนวน 7.5 ล้านบาท ที่รัฐบาลเคยจ่ายเป็นเงินเยียวยา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่เป็นเงินค่าสินไหม ที่สำนักนายกรัฐมนตรี ต้องจ่ายเพิ่มเติมให้กับครอบครัวของนาย อัสอารี”
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 และหน่วยที่ 13 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา ร่วมกันปิดล้อม ตรวจค้น และควบคุมตัวนาย อัสฮารี สะมาแอ กับพวก ที่บริเวณสวนยางพารา หมู่ที่ 5 บ้านจาเราะซีโป๊ะ ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา โดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก ต่อมาในค่ำวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนาย อัสฮารี ส่งที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร จ.ปัตตานี เนื่องจากนาย อัสฮารี ได้รับบาดเจ็บสาหัส แพทย์ได้ส่งต่อและได้เสียชีวิตต่อมา ในเช้าวันที่ 22 กรกฎาคม 2550 ที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา
โดยแพทย์ระบุว่า เสียชีวิตเนื่องจากสมองบวม ตามร่างกายมีรอยฟกช้ำ ต่อมา ผู้ถูกจับกุมและควบคุมตัวพร้อมนาย อัสฮารี ได้ทำการร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่า ถูกเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย ในระหว่างการควบคุมตัวทำให้ได้รับบาดเจ็บ และเจ้าหน้าที่ได้ทำร้ายร่างกายนาย อัสฮารี จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต
นาง แบเดาะ สะมาแอ มารดา จึงฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่อศาลแพ่ง จากหน่วยงานต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ผู้กระทำการละเมิดในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ต่อมาศาลแพ่งมีคำสั่งโอนคดีไปศาลปกครองสงขลา ตามเขตอำนาจปกครอง
ตามความในพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 มาตรา 16 กล่าวไว้ว่า "ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอย่างหนึ่งอย่างใดจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร บุคคลจะร้องขอค่าเสียหายหรือค่าปรับไม่ได้" ซึ่งมิได้หมายความว่า หากเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารใช้อำนาจไปในทางมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการละเมิดต่อบุคคลอื่นแล้ว จะไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด ในคดีนี้ ผู้ถูกฟ้องคดีเป็นหน่วยงานของรัฐ มิใช่เจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลจึงพิพากษาให้สำนักนายกรัฐมนตรี ต้นสังกัดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจ ชดใช้ค่าเสียหายแก่นาง แบเดาะ สะมาแอ จำนวน 534,301 บาท รวมทั้งดอกเบี้ย โดยคำนวณจากวันที่ 17 ก.ค. 2551 โดยให้ชำระให้เสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด
ด้านนาง แบเดาะ สะมะแอ มารดาของนาย อัสฮารี สะมะแอ กล่าวว่า ได้มีการต่อสู้คดีนี้มานานมาก สู้จนเงินหมด จากที่เป็นคนไม่มีความรู้ เป็นชาวบ้านที่ไม่รู้อะไรเลย เมื่อมาเจอปัญหาก็ต้องสู้ ต้องเรียนรู้ ทำให้กล้าที่จะไปเรียกร้องขอความยุติธรรมจากหน่วยงานต่างๆ
“หลังจากศาลได้ตัดสินให้สำนักนายกรัฐมนตรี จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ รู้สึกฟ้าสว่าง คิดว่า สิ่งที่ต่อสู้มาไม่เสียเปล่า ขอขอบคุณทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือโดยเฉพาะ เจ้าหน้าที่จาก มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ให้ความรู้และความช่วยเหลือมาโดยตลอด ทำให้มาถึงวันนี้ได้”