นักเรียนปอเนาะกัมพูชา 18 คน ต้องถูกผลักดันออกจากไทย หลังจับกุมได้ที่ปัตตานี
2019.02.07
ปัตตานี

เจ้าหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนใต้ กล่าวในวันพฤหัสบดีนี้ว่า ไม่พบหลักฐานว่าชายชาวกัมพูชา 18 คน ที่ถูกควบคุมตัวมาจากโรงเรียนปอเนาะสองแห่ง ในอำเภอมายอ ปัตตานี ทำการฝึกการต่อสู้เพื่อร่วมสนับสนุนขบวนการก่อเหตุรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ หลังจากผ่านกระบวนการสอบสวน แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งผู้ต้องหา 17 คน ฟ้องศาลฐานกระทำความผิดต่อกฎหมายตรวจคนเข้าเมือง เพื่อที่จะได้ผลักดันกลับประเทศในเร็ววัน
ทั้งนี้ ผู้กำกับสถานีตำรวจมายอ กล่าวว่า ศาลแขวง ปัตตานี กำลังดำเนินการพิจารณาคดีนักเรียน 14 คน ซึ่งขณะนี้ถูกขังในเรือนจำปัตตานี โดยจะนำตัวขึ้นศาลอีกครั้งในวันศุกร์นี้ และในวันจันทร์หน้า ส่วนเยาวชน 3 รายนั้น ผ่านกระบวนการศาลเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในความดูแลของสถานพินิจเด็ก ในขณะที่อีกหนึ่งรายนั้น มีเอกสารถูกต้องและอยู่ในการดูแลของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งคาดว่าจะสามารถผลักดันทั้งหมดออกไปพร้อมกันได้โดยไว
ในวันนี้ พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวว่า หลังจากการสอบถามทั้งหมด ไม่พบความเกี่ยวข้องกับบีอาร์เอ็นแต่อย่างใด
“กรณีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบีอาร์เอ็นนั้น ยังไม่พบ ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก แต่ตอนนี้ อยู่ระหว่างดำเนินคดีข้อหาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย” พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ปัตตานี ก็ได้กล่าวยืนยันเช่นเดียวกัน
“ได้เข้าไปดูกับฝ่ายความมั่นคงทหาร ก็ไม่มีพฤติกรรมน่าสงสัย เพราะอาวุธอะไรก็ไม่มี เป็นการฝึกเตะกระสอบธรรมดา ให้ทหารตรวจสอบแล้วและเอาตัวไปที่ศูนย์ควบคุม ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต... เขามารับจ้างทำงานแล้วมาเรียน หลังจากที่เรียนจากเราไปเขามีความเชื่อว่าพอเขากลับไปที่บ้านเขาๆ จะได้เป็นผู้นำที่ประเทศเขา” พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ในวันนี้
เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมานี้ พ.อ.สมคิด คงแข็ง ผู้บัญชาการกองกำลังเฉพาะกิจทหารพรานที่ 42 ได้นำกำลังเข้าควบคุมตัวชาวกัมพูชา 11 คน จากสถาบันศึกษาปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ ในอำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี เพื่อนำมาสอบสวนในค่ายอิงคยุทธบริหาร เพราะเจ้าหน้าที่พบว่ามีการฝึกการต่อสู้ด้วยมือเปล่าในยามวิกาล จึงเกรงว่าจะเป็นแนวร่วมปฏิบัติการของกลุ่มใช้ความรุนแรง
และเมื่อจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ นี้ เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวชาวกัมพูชาอีก 7 คน จากปอเนาะอีกแห่ง เพื่อสอบสวนด้วยข้อสงสัยในลักษณะเดียวกัน
พ.ต.อ.คมกฤช ศรีสงค์ ผู้กำกับ สภ.มายอ จ.ปัตตานี กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ในวันนี้ว่า เมื่อวานนี้ ทั้งหมดถูกปล่อยตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการผลักดันกลับประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ได้นำตัวทั้งหมดขึ้นศาลแขวง ปัตตานี โดยศาลจะได้พิจารณาคดีเข้าเมืองผิดกฎหมายต่อผู้ต้องหา 13 คน ที่อยู่เกินวีซ่า ส่วนอีกหนึ่งรายนั้น มีหนังสือเดินทางจึงถูกดำเนินคดีเข้าเมืองผิดกฎหมาย
“ได้นำตัวไปขึ้นศาลไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของศาลแขวง จะขึ้นศาลเพื่อการพิจารณาคดีวันศุกร์นี้ และวันจันทร์หน้า จากนั้นก็จะส่งให้ ตม. ดำเนินการตามกฎหมาย ผลักดันกลับประเทศได้ในสัปดาห์หน้า” พ.ต.อ.คมกฤช กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไทยมีความสงสัยในพฤติกรรมของโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนตาดีกา ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าเป็นแหล่งอบรมเยาวชน เพื่อใช้เป็นกองกำลังปฏิบัติการให้กับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน รวมทั้งสงสัยในตัวชาวมุสลิมกัมพูชาที่เดินทางมาเรียนในโรงเรียนศาสนา ในสามจังหวัดชายแดนใต้ ว่าจะเข้ามาเป็นกำลังสนับสนุนฝ่ายก่อเหตุรุนแรง
ในปี 2558 ศาลได้สั่งยึดทรัพย์โรงเรียนญิฮาดวิทยา ในอำเภอยะหริ่ง ปัตตานี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะว่าเมื่อ ปี 2547 เจ้าหน้าที่พบว่าปอเนาะแห่งนี้ เป็นแหล่งซ่องสุมอบรมการใช้อาวุธให้กับกองกำลังรบของฝ่ายขบวนการ
นอกจากนี้ เมื่อต้นปี 2561 เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบโรงเรียนบากงพิทยา อำเภอหนองจิก ปัตตานี และกล่าวหาผู้บริหารว่าได้ยักยอกเงินอุดหนุนการศึกษาจากรัฐ เพื่อใช้ในการบ่มเพาะอุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนและสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรง ซึ่งรวมถึงการวางระเบิดลานจอดรถห้างบิ๊กซี ปัตตานี สองลูกซ้อน จนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ กว่า 80 ราย เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2560
อย่างไรก็ตาม หลังจากเจ้าหน้าที่เข้าจับผู้ต้องสงสัยในตอนดึกของคืนวันจันทร์ในสัปดาห์ก่อนนั้น นางอสดีละ สาแลแม ภรรยาของนายสาอุดี เลาะแม็ง ผู้เป็นเจ้าของปอเนาะ กล่าวว่า ทางปอเนาะไม่ได้มีการสอนการใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด
"ยืนยัน ที่ปอเนาะไม่มีการปลุกระดม ไม่ได้ฝึกร่างกายอะไร เป็นการเล่นกีฬาตามประเพณีของชาวกัมพูชา ที่ปอเนาะสอนให้มีการเรียนการสอนเท่านั้น ไม่ได้มีการให้ฝึกอย่างที่เป็นข่าวเลย... แต่ยอมรับเรื่องนักเรียนกัมพูชา หนังสือเดินทางหมดอายุ” นางอสดีละ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสาอุดี เลาะแม็ง เจ้าของปอเนาะมัดรอสาตูลฟาละห์ พร้อมด้วยเด็กนักเรียนชาวไทย ไปสอบปากคำด้วย ก่อนปล่อยตัวกลับ โดยไม่ได้ตั้งข้อหาเช่นกัน