คนร้ายยิงชาวบ้านตายหนึ่งราย ในระแงะ

มาตาฮารี อิสมาแอ และมารียัม อัฮหมัด
2020.03.06
นราธิวาส และปัตตานี
200306-TH-deepsouth-violence-1000.jpg เจ้าหน้าที่มูลนิธิกู้ภัย เก็บศพนายประภาส เทพษร ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต บนถนนสายบ้านป่าสยา-ทุ่งแกร็ง ม.4 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส วันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563
มาตาฮารี อิสมาแอ/เบนาร์นิวส์

ในวันศุกร์นี้ เจ้าหน้าที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ได้เกิดเหตุคนร้ายยิงชาวบ้านในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เสียชีวิตหนึ่งราย ส่วนในอำเภอรามัน จังหวัดยะลา ได้เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ยิงปะทะกับผู้ต้องสงสัยว่า เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะจับกุมตัวไว้ได้หนึ่งราย และส่วนหนึ่งหลบหนีไปได้

พ.ต.ท.วรวรรธ จันทร์คูเมือง สารวัตรสอบสวน สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส กล่าวว่า ในตอนก่อนรุ่งสางของวันศุกร์นี้ ตนได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิต บนถนนสายบ้านป่าสยา-ทุ่งแกร็ง ม.4 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส จึงรายงานผู้บังคับบัญชา พร้อมเข้าที่เกิดเหตุ พบว่า นายประภาส เทพษร อายุ 51 ปี ถูกยิงเสียชีวิต โดยสภาพศพถูกยิงที่บริเวณกลางหลัง ศีรษะ และใบหน้า จำนวน 3 นัด โดยมีรถจักรยานยนต์ล้มตะแคงอยู่ข้างศพ

ส่วนในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่พบปลอกกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 3 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนที่จะนำศพผู้เสียชีวิตส่งโรงพยาบาลระแงะ เพื่อให้แพทย์ทำการชันสูตรพลิกศพอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะมอบให้ญาติรับศพไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณี

พ.ต.ท.วรวรรธ กล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่าก่อนเกิดเหตุผู้ตายได้ขี่รถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า สีน้ำเงิน ทะเบียน กกต 767 นราธิวาส ออกจากบ้านพัก ซึ่งอยู่บ้านโต๊ะตีเต ม.2 ต.บางปอ อ.เมืองนราธิวาส ตามลำพัง เพื่อเดินทางไปกรีดยาง โดยสวมกางเกงวอร์มขายาวสีดำ และใส่เสื้อยืดสีดำแขนยาว และเหน็บมีดกรีดยางไว้กับขอบกางเกงวอร์มที่ด้านหลัง

“เมื่อถึงที่เกิดเหตุได้มีคนร้ายไม่ทราบกลุ่ม จำนวน 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิงด้วยอาวุธปืนลูกซอง จำนวน 2 นัดซ้อน ถูกบริเวณกลางหลังและท้ายทอย และรถเสียหลักล้ม จากนั้น คนร้ายได้ ยิงซ้ำที่บริเวณใบหน้า 1 นัด จนมั่นใจว่า เป้าหมายได้เสียชีวิตแล้ว คนร้ายได้ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป” พ.ต.ท.วรวรรธ และระบุว่า ในส่วนประเด็นและสาเหตุนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบสวนสืบสวนว่าเกิดจากอะไร ในเบื้องต้นคาดว่า อาจเป็นการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ หรือ ความขัดแย้งส่วนตัว

เจ้าหน้าที่ปะทะผู้ต้องสงสัย จับกุมตัวได้ 1 ราย

ในตอนเช้าของวันศุกร์นี้ พ.ต.อ.ปรเมษฐ์ พลับพลึง ผกก.สภ.รามัน จังหวัดยะลา รับแจ้งว่า ได้เกิดเหตุเจ้าหน้าที่สามฝ่ายยิงปะทะกับผู้ก่อเหตุรุนแรง ในพื้นที่รามัน จ.ยะลา ภายหลังสืบทราบข้อมูลกลุ่มก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ได้เข้าไปเคลื่อนไหว จึงนำกำลังเข้าบังคับใช้กฎหมาย โดยได้ยิงปะทะกันเป็นเวลานานกว่าเจ้าหน้าที่จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้

เมื่อสิ้นสุดการยิง เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมคนร้ายได้ 1 คน คือ นายมูฮัมมะมูสตาวา สนิ พร้อมยึดอาวุธปืนพกได้ 2 กระบอก มีผู้หลบหนีไปได้ 5 ราย เจ้าหน้าที่ยังคงจัดกำลังติดตามล่าอย่างต่อเนื่อง

เจ้าหน้าที่ได้ซักถาม นายมูฮัมมะมูสตาวา ซึ่งเจ้าตัวได้ให้การเบื้องต้นว่า ก่อนเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ตนเองรวมตัวกันกับเพื่อนอีก 5 คน และเมื่อเกิดการปะทะได้แยกกันหลบหนี โดยรายชื่อขอเงเพื่อน มีดังนี้ คือ หนึ่ง นายเพาซัน มีอาวุธปืนเอ็ม.-16 สอง นายยูรี มีปืนพกสั้น สาม นายมัน เป็นเพื่อนกับนายเพาซัน มีอาวุธปืนเอ็ม.-16 เป็นชาว อ.สายบุรี จ.ปัตตานี คนที่สี่ คือ นายอิ เป็นเพื่อนของนายยูรี เป็นชาว อ.สายบุรี จ.ปัตตานี มีปืนพก และคนที่ห้า คือ นายแบ เป็นเพื่อนนายมูฮัมมะมูสตาวา มาจาก อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี มีอาวุธปืนเอ็ม.-16

พ.อ.เกียรติศักดิ์ กล่าวอีกว่า นายมูฮัมมะมูสตาวา สนิ มีหมายจับ ป.วิอาญา 1 หมายจับ จากการลอบวางระเบิดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ไม้แก่น จ.ปัตตานี ถูกจับได้ ขณะว่ายน้ำหลบหนี และเจ้าหน้าที่ยึดอาวุธปืนพกสั้นได้ จำนวน 2 กระบอก ส่วนหนึ่งในคนร้าย 5 คน ที่หลบหนีไปได้นั้น พ.อ. เกียรติศักดิ์ ระบุว่า คือ นายมะยากี มะลาซิง ซึ่งมีหมาย ป.วิอาญา จากเหตุวางระเบิดที่กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ยังคงพยายามปิดล้อมพื้นที่ เพื่อติดตามไล่ล่าคนร้ายที่เหลืออย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2563 จากการรายงานเหตุของศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภาค 9 มีการก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่ทั้งหมด ทั้งเหตุยิงและระเบิด จำนวนรวมกว่า 30 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตจำนวน 25 ราย ส่วนฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตจำนวน 7 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่และประชาชน ได้รับบาดเจ็บจำนวน 28 นาย

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง