ดีเอสไอเริ่มสอบปากคำแม่ของ “บิลลี่” และอาจรับเป็นคดีพิเศษ
2017.04.04
เพชรบุรี

ครอบครัวของ “บิลลี่” นายพอละจี รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงบ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่เชื่อว่าถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานลักพาตัวและหายสาบสูญไปเมื่อสามปีก่อน เริ่มมีความหวังอีกครั้ง หลังจากมีการรื้อฟื้นคดีใหม่ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้รับปากในขณะที่ตัวแทนประเทศไทยจะเดินทางเข้าร่วมประชุมรายงานกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) เมื่อกลางเดือนที่แล้ว
ต้นเดือนเมษายนนี้ องค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนล ประเทศไทย และมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้พาสื่อมวลชนเดินทางเข้าพื้นที่บ้านโป่งลึก-บางกลอย ต.ห้วยแม่เพียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อพูดคุยกับภรรยาของบิลลี่ และชาวบ้านกะเหรี่ยง เพื่อระลึกถึงการหายไปของบิลลี่ครบรอบ 3 ปี
นางพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของ “บิลลี่” เล่าให้เบนาร์นิวส์ฟังว่า เมื่อเร็วๆ นี้มีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) 2 คนเดินทางเข้าพบนางพอลูจี รักจงเจริญ มารดาของบิลลี่ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวไปของบิลลี่เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557
“เขาถามแม่ว่า แม่รู้จากใครว่าบิลลี่ถูกจับตัวไป แม่บอกว่า ได้ยินจากชาวบ้าน ถามอีกว่าใครเอาบิลลี่ไป แม่ก็บอกว่า ชาวบ้านเล่าว่าเป็นเจ้าหน้าที่อุทยาน เป็นหัวหน้า เขาถามต่ออีกว่า แม่เคยเห็นหัวหน้าคนนั้น แม่บอกว่าเคยเห็น และเข้าใจว่าเป็นคนคนเดียวกันกับที่จับตัวบิลลี่ไป” นางพิณนภา กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
“เขาถามคำถามว่า เป็นไปได้ไหมว่า บิลลี่ขี่รถเครื่องไวและเกิดอุบัติเหตุ แม่บอกว่า บิลลี่ขี่รถไม่ไวและไม่เคยเกิดอุบัติเหตุ เขาจึงตัดประเด็นนั้นออกไป และถามคำถามสุดท้ายว่า แม่อยากให้ดีเอสไอรับเข้าเป็นคดีพิเศษไหม แม่ก็ตอบเขาว่า อยากให้รับเป็นคดีพิเศษนานแล้ว” นางพิณนภา กล่าวเพิ่มเติม
ในการประชุมเมื่อปี 2559 กรรมการดีเอสไอ มีมติไม่รับคดีของบิลลี่เป็นคดีพิเศษ โดยให้เหตุผลว่านางพิณนภา ผู้ร้องคดีดังกล่าวไม่ใช่ผู้เสียหาย เพราะไม่ได้เป็นภรรยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายกับนายพอละจี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งผลการประชุมให้ครอบครัวบิลลี่ทราบ ในต้นเดือนมกราคม 2560 ที่ผ่านมา
แต่เมื่อกลางเดือนมีนาคมนี้ นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมแจ้งว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะเร่งรัดให้คดีการหายตัวไปของนายพอละจี และของทนายสมชาย นีละไพจิตร เป็นคดีพิเศษ ในช่วงก่อนที่ตัวแทนประเทศไทยจะเข้าร่วมประชุมรายงานกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ต่อที่ประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNCHR) ที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ นครเจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ส่งผลให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางมาขอข้อมูลจากครอบครัวของบิลลี่อีกครั้ง หลังจากชะลอการสอบสวนไประยะหนึ่ง
“ผมกลับมาดูเรื่องนี้ ดูแล้วมันก็มีประเด็นที่ยังไม่ได้สอบปากคำคุณแม่ของบิลลี่ไว้ คุณแม่จะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายที่ถูกต้อง ผมก็ให้เจ้าหน้าที่ที่เขารับผิดชอบเรื่องนี้เดิม ไปสอบปากคำคุณแม่เพิ่มเติม แล้วก็รวบรวมพยานหลักฐานที่พอจะหาได้ แล้วก็พอจะมีเพิ่ม เพื่อที่จะทำการดูว่าจะพิจารณาช่วยเหลือ แล้วก็พิจารณาเป็นคดีพิเศษได้ยังไง” พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ทางโทรศัพท์
การหายตัวไปของบิลลี่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อปี 2554 ที่ชาวบ้านโป่งลึก-บางกลอย ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหน่วยงานซึ่งกำกับดูแลอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน และนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน (ตำแหน่งในขณะนั้น) ในข้อหาเข้ารื้อทำลาย เผาบ้านเรือน และทรัพย์สินของชาวบ้านชาวไทยเชื้อสายกะเหรี่ยง บริเวณตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้น สร้างความเสียหายให้กับชาวกะเหรี่ยง 20 ครอบครัว กว่า 100 หลังคาเรือน
นายโคอิ หรือปู่คออี้ มีมิ กับพวกรวม 6 คน เป็นผู้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 2555 เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส.58/2555 เพื่อเรียกค่าเสียหายจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อุทยานฯ และขอสิทธิกลับไปอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ซึ่งเป็นพื้นที่ดั้งเดิมที่ชาวกะเหรี่ยงเคยตั้งรกรากอาศัยริมลำห้วย เหนือแม่น้ำบ้านบางกลอยบน มาแต่ครั้งบรรพบุรุษเป็นเวลากว่าร้อยปี
บิลลี่ ซึ่งรับเป็นพยานในคดีดังกล่าวหายตัวไปหลังจากที่ออกไปเก็บน้ำผึ้งเพื่อนำไปฝากคนรู้จัก เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล เพื่อให้การต่อชั้นศาลในวันนัดสืบพยาน 18 พ.ค. 2557
“หนูทำใจตั้งแต่พี่บิลลี่บอกว่า ถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเดินทางระหว่างบ้านเดิมมาโป่งลึก-บางกลอยแล้วเขาหายไป ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องตามหาเขา ให้รู้ว่าเขาถูกฆ่าตายแล้ว โดยหัวหน้าอุทยาน เขาพูดชื่อเลยนะ ที่เขาพูดกับหนู” นางพิณนภากล่าว
หลังบิลลี่หายตัวไป นางพิณนภาได้ฟ้องร้องต่อศาลโดยกล่าวหาว่านายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร พร้อมลูกน้อง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าของอุทยานฯ แก่งกระจานอีก 3 คน เป็นผู้ลักพาตัวบิลลี่ไป เนื่องจากมีพยานเห็นว่าเจ้าหน้าที่เป็นผู้ควบคุมตัวบิลลี่ในวันที่ 17 เม.ย. 2557 และไม่มีใครเคยพบเขาอีกเลยจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยกฟ้องในคดีนี้ โดยให้เหตุผลว่า “คำร้องไม่มีน้ำหนักเพียงพอ”
“ใจผม สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือการสืบสวนให้พบศพ ให้พบการกระทำความผิดในลักษณะนี้ ก็เลยพยายามที่จะหาหลักฐานเพิ่มเติมอยู่ เพื่อให้มีประเด็นเพิ่มเติมว่า กรณีที่เขาหายตัวไป ปัจจุบันนี้ยังไม่พบตัว พอจะมีประเด็นที่เราจะขยายออกไป แล้วก็เพิ่มได้อย่างไรบ้าง” พ.ต.ท.กรวัชร์ รองอธิบดีดีเอสไอกล่าวเพิ่มเติม
เจ้าหน้าที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า ประเทศไทยกำลังพิจารณากฎหมายเกี่ยวกับการบังคับบุคคลให้สูญหาย จึงไม่สามารถฟ้องร้องคดีลักษณะนี้ได้ ในขณะเดียวกัน การที่จะดำเนินคดีฆาตกรรมนั้น ก็ไม่สามารถทำได้เช่นกัน เพราะไม่มีศพมายืนยันว่ามีการเสียชีวิตจริง
และในช่วงการประชุมที่เจนีวา เมื่อกลางเดือนมีนาคมนี้ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ได้ชะลอ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย แต่กลับลงมติ เพื่อให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ (ICPPED)
อย่างไรก็ตาม สนช. ยืนยันว่า จะผ่านร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหาย ที่กระทรวงยุติธรรมกำลังทบทวนเนื้อหาของร่าง พรบ. อยู่ในขณะนี้
ทางด้าน พ.ต.ท.กรวัชร์ ระบุว่า ยังไม่ได้มีการกำหนดว่าจะประชุมคณะกรรมการพิจารณารับคดีการหายตัวไปของนายพอละจีเข้าเป็นคดีพิเศษหรือไม่ และเมื่อใด
นางพิณนภาระบุเพิ่มเติมว่า ในช่วงที่ตนเองพยายามร้องขอความเป็นธรรมในคดีของบิลลี่นั้น ไม่เคยถูกข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันได้ตักเตือนว่า ไม่ควรเรียกร้องเรื่องนี้ต่อ เพราะกลัวว่าจะเกิดอันตราย
“รู้สึกว่าเส้นเขาใหญ่ ถ้าเป็นแบบคนธรรมดา ถึงขั้นนี้ก็ไม่อยู่แล้วแหละ แต่เส้นเขาใหญ่ ไม่เป็นอะไรไปได้ง่ายๆ คิดว่า ก็จะเรียกร้องสิทธิตามขั้นตอนกฎหมาย ถ้าสิ้นสุดก็คงไม่ทำอะไรอีกแล้ว” ภรรยาของนายบิลลี่ กล่าวทิ้งท้ายถึงคดีของบิลลี่โดยพาดพิงถึงอดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน