ไผ่ ดาวดิน มีกำลังใจดี แม้ศาลสั่งพิจารณาคดี 112 ทางลับ
2017.08.04
กรุงเทพฯ

ในวันศุกร์ (4 สิงหาคม 2560) นี้ ทนายความ และครอบครัวของนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน ได้เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ว่า นายจตุภัทร์ยังมีกำลังใจดี แม้ศาลสั่งให้พิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่นายจตุภัทร์ตกเป็นจำเลยในทางลับทุกขั้นตอน จนถึงการอ่านคำพิพากษา
นายวิบูลย์ บุญภัทรรักษา บิดาของนายจตุภัทรได้เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ว่า ปัจจุบัน นายจตุภัทร์ และครอบครัวยังมีกำลังใจดี แม้ศาลจะสั่งให้พิจารณาคดีหมายเลขดำที่ อ.301/2560 ที่นายจตุภัทร์เป็นจำเลยในทางลับ โดยยืนยันว่า ครอบครัวจะเดินหน้าต่อสู้นอกศาล ด้วยการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเรื่องคดีของนายจตุภัทร์แก่ประชาชน
“เดิมศาลกับทีมทนายความเราได้คุยกัน เพราะตอนแรก ศาลระบุว่าจะพิจารณาคดีทางลับทุกขั้นตอน ซึ่งเราคัดค้าน บอกว่าไม่ได้ เพราะโดยหลักการพิจารณาคดีต้องเปิดเผย การพิจารณาคดีลับต้องมีเหตุที่สำคัญจริงๆ ในการนัดตรวจพยานหลักฐาน ศาลจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นจะพิจารณาว่าจะปิดลับหรือไม่เป็นครั้งๆไป คือจะเปิดสาธารณะ แต่มาเมื่อวานนี้สั่งใหม่ให้ลับตลอด เราก็งง อยู่ๆ มาเปลี่ยน” นายวิบูลย์กล่าว
“เมื่อสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมบีบเรา เราก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม ยังมีกำลังใจดีอยู่ กระบวนการในศาลเป็นการต่อสู้ทางกฎหมาย กระบวนการอื่นนอกจากนั้นก็มี แต่ไม่ได้หมายความว่าไปเดินขบวน การไปบรรยาย และให้ข้อมูลกับนักข่าว คือกระบวนการนอกเหนือจากศาล เพราะบางเรื่องต้องอธิบาย ถ้าคนไม่รู้เรื่องก็สรุปไปว่าไผ่เลว การให้ข้อมูลมากขึ้นกับประชาชนคือ กระบวนการการต่อสู้” นายวิบูลย์กล่าวเพิ่มเติม
นายจตุภัทร์ นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นถูกจับกุมตัวในที่ 3 ธันวาคม 2559 เพราะถูกกล่าวหาว่ากระทำการที่อาจเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 (พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ) หลังจากที่นายจตุภัทร์เป็นหนึ่งในผู้เฟซบุ๊คจำนวนมากกว่า 2,500 ราย ที่เผยแพร่รายงานข่าวของสำนักข่าวบีบีซีไทย (BBC Thai) เรื่อง “พระราชประวัติกษัตริย์พระองค์ใหม่ของไทย” บนหน้าเฟซบุ๊คของตนเอง
ซึ่งถือเป็นคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือคดีหมิ่นเบื้องสูง ที่มีการจับกุมตัวและพิจารณาคดีเป็นคดีแรก นับตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ของพระมหากษัตริย์ไทยในรัชกาลที่ 10
ด้าน นายกฤษฎางค์ นุชจรัส ทนายความของนายจตุภัทร์ เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ในวันนี้ว่า ศาลระบุเหตุผลที่ทำให้จำเป็นต้องพิจารณาคดีของนายจตุภัทร์ในทางลับ เพราะคดีนี้อาจกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ
“ตอนนี้ลำบากเลย เพราะศาลห้ามเปิดเผยกระบวนการพิจารณา ศาลบอกว่าเป็นความผิด เป็นคดีทางความมั่นคง อาจเกิดความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ อยู่ในห้องพิจารณาคดีจึงมีเฉพาะตัวศาล เจ้าหน้าที่ศาล ตัวจำเลย ทนายจำเลย พ่อ แม่ อัยการโจทก์ พยาน และเจ้าหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหา” นาย กฤษฎางค์กล่าว
นายกฤษฎางค์ระบุเพิ่มเติมว่า ในการเข้าฟังการสืบพยานนัดแรก พบว่านายจตุภัทร์มีปัญหาด้านผิวหนังที่บริเวณหลัง และคอ แต่ยังคงมีกำลังใจดี และยังมีความกระตือรือร้นเหมือนกับช่วงก่อนที่จะถูกควบคุมตัว
สำหรับการไต่สวนพยานโจทก์นัดแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา อัยการได้เบิกพยานโจทก์ปากแรก คือ พ.ท.พิทักษ์พล ชูศรี หรือ “เสธ.พีท” ผู้บังคับกองร้อยรักษาความสงบ มณฑลทหารบกที่ 23 ซึ่งเป็นผู้แจ้งความดำเนินคดีต่อนายจตุภัทร์ โดยศาลมีนัดสืบพยานโจทก์อีกครั้งในวันที่ 15-17 สิงหาคม และ 30-31 สิงหาคม 2560 และการสืบพยานทั้งหมดจะเป็นไปในทางลับ
นอกจากคดีนี้แล้ว นายจตุภัทร์ มีคดีที่ยังอยู่ในการพิจารณารวม 5 คดี โดยความผิดก่อนหน้าเกี่ยวกับการขัดขืนคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติเลขที่ 3/2558, ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116, ความผิดเกี่ยวกับการรณรงค์การออกเสียงประชามติที่อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ และความผิดเกี่ยวกับการจัดงาน “พูดเพื่อเสรีภาพ” ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า เป็นสิ่งที่ไม่บังควร
หลังจาก นายจตุภัทร์ ถูกจับกุมไม่นาน พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้กล่าวเบนาร์นิวส์ว่า ประชาชนควรรู้การกระทำอันใดเป็นการบังควรหรือไม่ และจะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้กระทำผิด
“เชื่อมั่นว่าทุกคนรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ ทางที่ดีอย่าแชร์ต่อ ถ้าท่านแชร์ต่อหรือท่านกดไลค์หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็แสดงว่าท่านสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมาย” พลโทสรรเสริญ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ทางโทรศัพท์
“กระทรวงดีอี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเมินในเบื้องต้นเห็นว่า เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะนำเสนออย่างนั้น เนื่องจากทำร้ายความรู้สึกของคนไทย” พลโทสรรเสริญ กล่าวเพิ่มเติม