ผบ.ทบ. ยืนยันโอกาสรัฐประหารติดลบ หลังราษฎรยื่น “ราษฎรสาส์น”

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2020.11.09
กรุงเทพฯ
201109-TH-protest-letters-1000.jpeg กลุ่มผู้ชุมนุม "ราษฎร" หลายพันคนเดินเท้าจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อยื่น "ราษฎรสาส์น" ถวายในหลวง ร.10 กรุงเทพฯ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2563
นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์

ในวันจันทร์นี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวให้สัมภาษณ์แก่ผู้สื่อข่าว กรณีที่ผู้ชุมนุมประท้วงพยายามเดินเท้าไปยังพระบรมมหาราชวัง จนมีการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ว่า เจ้าหน้าที่ต้องทำหน้าที่ในการปกป้องสถานที่สำคัญตามหน้าที่ พร้อมระบุว่า โอกาสในการปฏิวัติยังติดลบ

พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ กล่าวให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มราษฎรกับเจ้าหน้าที่บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อค่ำวานนี้ว่า ผู้ชุมนุมพยายามจะมุ่งหน้าไปสู่เขตพระราชฐาน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจและกลุ่มผู้ดูแลความเรียบร้อยของผู้ชุมนุม คอยเจรจากันตลอดว่าเป็นการชุมนุมโดยสงบ และจะไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่ต้องยอมรับว่า มีกลุ่มคนที่พยายามสร้างความรุนแรง โดยการเตรียมสิ่งของที่มีลักษณะคล้ายประทัด ขว้างข้ามรถบัสเข้ามายังฝั่งเจ้าหน้าที่ โดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม เจ้าหน้าที่จึงจำเป็นต้องปกป้องสถานที่สำคัญตามหน้าที่

เหตุการณ์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนที่เรียกตัวเองว่า “ราษฎร” นัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีประชาธิปไตย ก่อนจะเดินเท้าจากมุ่งหน้าไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวาย “ราษฎรสาส์น” ซึ่งเป็นจดหมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่10 พร้อมกับการอ่านแถลงการณ์ต่อหน้าผู้ชุมนุมเกือบหมื่นคนในช่วงค่ำ

“เมื่อท่านสดับรับฟังคำสรรเสริญเยินยออันมีรสหวานจากราษฎรได้ ท่านก็จำเป็นต้องสดับรับฟังคำเตือนและข้อเสนอแนะ ขอให้ปฏิรูปปรับปรุง อันเป็นคำสัตย์ซึ่งดีกว่ารสทั้งหลายจากราษฎรได้เช่นเดียวกัน ถ้าพระราชาเป็นผู้ยึดมั่นประชาธิปไตย ราษฎรทั้งปวงก็เป็นสุข 3 ข้อเรียกร้องของประชาชน คือการประนีประนอมที่สุดแล้ว” แถลงการณ์ใน ราษฎรสาส์น ระบุ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงค่ำของวันเดียวกันนั้น ผู้ชุมนุมได้ฝ่าแนวกั้นรั้วแผงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ เพื่อเข้าสู่ถนนราชดำเนินใน และมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งแนวลวดหนาม รถตู้ตำรวจ รถขนส่งสาธารณะ รวมถึงรถฉีดน้ำ บริเวณหน้าศาลฎีกา เพื่อที่จะสกัดไม่ให้ผู้ชุมนุมเดินหน้าต่อ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ประกาศแจ้งเตือนผู้ชุมนุมว่าไม่ให้ข้ามแนวกั้น เนื่องจากเป็นเขตพระราชฐาน แต่มีผู้ชุมนุมบางส่วนได้ปีนขึ้นไปบนรถขนส่งสาธารณะที่จอดขวางอยู่และปลดเกียร์ว่าง เพื่อเคลื่อนย้ายรถออกไป จากนั้นพยายามรื้อแนวลวดหนามออก ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุม ขณะเดียวกันผู้ชุมนุมที่แตกฮือจากการฉีดน้ำ ได้วิ่งเข้าไปในท้องสนามหลวงและพยายามฝ่าแนวกั้น จนเกิดการผลักดันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ทหารแต่งกายในเสื้อสีเหลืองเป็นแนวหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยผลักดันอยู่

หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมาขอโทษผู้ชุมนุมที่ได้มีการฉีดน้ำผ่านเครื่องขยายเสียง และอนุญาตให้ผู้ชุมนุมตั้งตู้ไปรษณีย์จำลองจำนวน 4 ตู้ ด้านหน้าศาลหลักเมือง เพื่อให้ประชาชนได้หย่อนจดหมายที่ได้เขียนถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงในกล่องก่อนจะประกาศยุติการชุมนุมในเวลาสามทุ่มตรง

ต่อมาเพจ เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH ได้โพสต์ภาพตำรวจนำตู้ไปรษณีย์ราษฎรไปไว้ที่ สน.ชนะสงคราม พร้อมจดหมายทั้งหมด

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า กองกำลังทหารที่สวมใส่เสื้อสีเหลืองนั้น ถูกสั่งมาให้เข้าไปช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลการชุมนุมอยู่แนวด้านหลัง เพื่อป้องกันหากมีผู้ชุมนุมหลุดจากแนวป้องกันด้านหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปในเขตพระราชฐาน

“หากเกิดความเสียหายขึ้นมาใครจะออกมารับผิดชอบ และความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศจะเป็นอย่างไร เขตพระราชฐานเหมือนบ้านเรา ถามว่าบ้านเราต้องการให้คนบุกรุกไหมแค่นั้น ทุกคนรักบ้านตัวเอง รักครอบครัวตัวเอง และพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรง” พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว

ผู้บัญชาการทหารบกได้กล่าวอีกว่า สถานการณ์การเมืองขณะนี้ยังไม่มีทางออก แต่ตนเองได้จำไว้เสมอว่าการเมืองก็ต้องแก้ด้วยการเมือง หากทุกคนมีสติและมองให้รอบด้าน ทั้งนี้ ต่อประเด็นที่มีการเรียกร้องให้ทำรัฐประหารของกลุ่ม เครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ ยืนยันว่าโอกาสในการรัฐประหารนั้นยืนยันว่าติดลบ

ทั้งนี้ การชุมนุมในคืนวันอาทิตย์ นายท็อป (นามสมมติ) ผู้ร่วมชุมนุม กล่าวว่าตนเองรู้สึกลึก ๆ ว่า ท่านคงไม่ได้อ่าน แต่การยื่นจดหมายเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่ราษฎรได้ร่วมกันทำเพื่อระบายสิ่งที่ตัวเองอยากพูด เป็นกิจกรรมที่รวมให้เราเป็นกลุ่มกัน โดยพูดถึงเนื้อหาในจดหมายว่า เป็นการอธิบายว่าทำไมมวลชนต้องออกมามากมายขนาดนี้

ด้านนายสมศักดิ์ (สงวนนามสกุล) อดีตข้าราชการที่เดินทางมาจากนครราชสีมา กล่าวกับเบนาร์นิวส์ถึงเหตุผลที่มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้

“เพราะเรารู้สึกว่าประเทศของเราอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ทั้งหวาดกลัวต่ออำนาจเผด็จการ และอำนาจเหนือเผด็จการมานานเกินไปแล้ว ควรที่จะมีการขจัดอำนาจเผด็จการ และเปลี่ยนแปลงอำนาจเหนือเผด็จการนั้นให้หมดสิ้นไป เพื่อเป็นความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์”

“การตั้งคณะกรรมการปรองดองอะไรนั้น ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพียงละคร เป็นเพียงละครหลอกเด็กซึ่งไม่ได้ให้ความหวังอะไรแก่การปฏิรูปหรือเปลี่ยนแปลงของสังคมเลย เป็นการละคร ฉากที่จะยื้อเวลาไปเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้เหตุผลว่าการฉีดน้ำใส่ผู้ชุมนุมเป็นไปตามยุทธวิธี โดยแนววิถีโปรยน้ำลงมานั้นไม่ได้มุ่งให้เกิดอันตราย หรือเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินแต่อย่างใด แต่เป็นการเตือนว่าถึงจุดที่ต้องบังคับใช้กฎหมาย ขณะที่ศูนย์การแพทย์เอราวัณ รายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะจำนวน 5 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย และประชาชนทั้งหมด 4 ราย

 

 

นายกฯ ย้ำใช้กฎหมายแก้ไขปัญหา

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันนี้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออก โดยทำตามขั้นตอนและกลไกของกฎหมายที่มีอยู่

“เราต้องดำเนินการโดยหลักของความถูกต้อง บนหลักของกฎหมาย กติกาของบ้านเมือง และต้องเป็นวิธีปฏิบัติที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยอมรับได้ อย่าลืมว่าเรามีประชากรเกือบ 70 ล้านคน ผมเองก็สนับสนุนทุกทางที่ใครจะเสนอหนทางออกให้กับประเทศไทยในหลากหลายความคิด ผมยืนยันว่าผมรับฟังทุกฝ่ายแล้ว ยังคิดว่าการร่วมพูดคุยอย่างเป็นทางการ คือทางออกที่ดีที่สุดให้กับทุกปัญหาเสมอไป" พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีกลุ่มผู้ชุมนุมใส่เสื้อสีเหลืองที่เรียกตัวเองว่า เป็นผู้ที่รักและปกป้องสถาบัน นัดชุมนุมกันในฝั่งตรงข้ามกับกลุ่มผู้ชุมนุมราษฎร

นายเดี่ยว ดัสกร ผู้ชุมนุมที่สวมใส่เสื้อเหลือง ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ บริเวณแยกอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ว่ามาชุมนุมเพื่อมาแสดงความจงรักภักดีและปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพราะทนไม่ได้ที่เห็นกลุ่มคนที่ชุมนุมอยู่ฝั่งตรงข้ามถนนพูดจา แสดงพฤติกรรมจาบจ้วง ล้อเลียน พระมหากษัตริย์อันที่เป็นที่รัก

“เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะมีพระมหากษัตริย์ ผมต้องปกป้อง คนพวกนี้หมิ่นเบื้องสูงผมยอมไม่ได้ ต้องข้ามศพผมไปก่อน” นายเดี่ยว ระบุ

ด้านนายกฤตย์ เยี่ยมเมธากร เลขาธิการเครือข่ายประชาชนปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ (คปส.) ได้เดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลในวันนี้ เพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผ่านนายสุภรณ์ อัตถาวงษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเสนอทางออกประเทศให้กับประเทศไทย โดยการขอให้ใช้กฎหมายพิเศษ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ นายกฤตย์ ระบุว่าตนเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 แต่ห้ามปฏิรูปสถาบัน

“เราต้องเป็นตัวแทนประชาชนในฝ่ายที่จงรักภักดีและปกป้องสถาบัน โดยในจดหมายเปิดผนึกไม่ได้มีรายละเอียดอะไรมากมาย เป็นเพียงการบอกว่า เราเป็นประชาชนส่วนหนึ่งของประเทศไทย ที่อยู่ข้างสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความเชื่อมั่นในตัวนายกฯ และเป็นกำลังใจในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ร้ายแรงของตามที่เห็นสมควร โดยได้เสนอให้ใช้กฎหมายพิเศษแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ไม่ได้ระบุว่าให้มีการรัฐประหาร แต่จะใช้กฎหมายใดนั้น อยู่ที่ผู้มีอำนาจจะเห็นสมควร โดยนายกฯ อาจปรึกษาประธานรัฐสภา และฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” นายกฤตย์ ระบุ

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง