ชายมาเลเซียนิยมแต่งภรรยาเพิ่ม ในห้าจังหวัดชายแดนใต้ของไทย
2016.09.15
สงขลา

มัสยิดในห้าจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทยหลายแห่ง ได้กลายมาเป็นสถานที่ที่เป็นที่นิยมในการประกอบพิธีนิกะฮ์หรือการแต่งงานตามหลักศาสนาอิสลาม ของคู่รักชาวมาเลเซียมุสลิม โดยเฉพาะสำหรับชายชาวมาเลเซียที่มาแต่งภรรยาคนที่สอง สาม หรือสี่ เพื่อหลีกเลี่ยงการที่ภรรยาหลวงคัดค้านการแต่งภรรยาเพิ่มของสามี และอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายในบ้านเมืองตนเอง เจ้าหน้าที่คณะกรรมการอิสลามกล่าว
นายศักดิ์กรียา บิลแสละ ประธานกรรมการมัสยิดกลางประจำจังหวัดสงขลา กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า การแต่งงานของชายชาวมาเลเซียส่วนใหญ่จะเป็นการแต่งครั้งที่สอง ส่วนการแต่งครั้งแรกนั้นมีน้อยมาก และที่มัสยิดกลางจังหวัดสงขลา ในวันหนึ่งๆ จะมีการแต่งงานสิบคู่หรือกว่าสิบคู่
“ส่วนใหญ่จะมาแต่งงานกับภรรยาคนที่สอง ส่วนคู่บ่าวสาวใหม่มีน้อยมาก” นายศักดิ์กรียา กล่าวแก่เบนานิวส์
นายศักดิ์กรียา กล่าวอีกว่า ทางอิหม่ามต้องทำพิธีให้คู่บ่าวสาวให้ถูกต้องตามหลักศาสนา เมื่อคู่บ่าวสาวร้องขอ มิฉะนั้น การที่ปล่อยให้คู่หนุ่มสาวมีความสัมพันธ์กันโดยไม่ถูกต้องตามหลักศาสนานั้น ถือว่าเป็นบาปแก่อิหม่ามด้วย
“การที่ชาวมาเลเซียมาแต่งงานที่นี่มีหลายกรณี บางกรณีต้องทำ ถ้าเราไม่ทำถือว่าผิดหลักศาสนา เพราะทั้งที่รู้ว่าเขากำลังจะไปใช้ชีวิตคู่เป็นสามีภรรยากัน เขามาหาเราเพื่อให้ทำพิธีให้ถูกต้อง แต่เราไม่ทำเราก็บาป” นายศักดิ์กรียา กล่าวเพิ่มเติม
ปัญหาครอบครัว
การข้ามแดนมาแต่งงานในประเทศไทย เป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ชายชาวมาเลเซียรายหนึ่งกล่าวแก่เบนาร์นิวส์ ที่จังหวัดสงขลา
“เรื่องนี้มีมานานหลายสิบปีแล้ว เพราะมาเลเซียมีกฎหมายควบคุม ถ้าจะแต่งงงานคนที่สองต้องได้รับอนุญาตจากภรรยาคนแรก และต้องมีสถานะการเงิน และความเป็นอยู่ที่มั่นคง และต้องทำตามหลักศาสนาที่ถูกต้อง” นายมูเก็ม อับดุลเลาะ ชายชาวมาเลเซียรายหนึ่งกล่าวต่อว่า ชายชาวมาเลเซียอาศัยช่องว่างที่มี โดยการออกมาแต่งงานนอกสถานที่ นอกประเทศอย่างที่หลายคู่นิยมทำมา ซึ่งจริงๆแล้วผิดกฎหมาย แต่ศาสนาไม่ได้ห้าม
ทางกงสุลมาเลเซียประจำประเทศไทยในจังหวัดสงขลา จะรับรองการแต่งงานของชาวมาเลเซียอย่างถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลาม ในเบื้องต้น ต่อการแต่งงานตามมัสยิดในจังหวัดสตูล สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส เท่านั้น
เจ้าหน้าที่กงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลา เปิดเผยตัวเลขการแต่งงานของชาวมาเลเซีย ในจังหวัดชายแดนใต้ ที่รายงานกับทางสถานกงสุลแล้ว ในปี 2558 ทั้งปี จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนปีนี้ ว่ามีจำนวนกว่า 6,000 คู่ ยังไม่นับรวมการแต่งงานที่อาจจะเกิดขึ้นโดยไม่ได้ลงทะเบียนให้ทางสถานกงสุลทราบ นายอาฟานดี อาบู เบคเกอร์ กล่าวแก่สำนักข่าวเบอร์นามา ของประเทศมาเลเซีย
“คู่รักที่แต่งงานโดยไม่จดทะเบียนการแต่งงานกับทางสถานกงสุล จะเจอปัญหาการรับรองการแต่งงาน เมื่อกลับไปมาเลเซีย” เจ้าหน้าที่กงสุลกล่าว
เจ้าหน้าที่ไทยและมาเลเซียร่วมประชุม
เจ้าหน้าที่รัฐบาลมาเลเซียได้กล่าวในการสัมมนาที่มีขึ้นเมื่อเดือนกรกฎาคม สำหรับนายทะเบียนผู้จดทะเบียนการแต่งงานและคณะกรรมการศาสนาอิสลามจากห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่าทั้งสองประเทศจำเป็นต้องทำงานร่วมกัน เพื่อให้เป็นการรับรองการแต่งงานเป็นไปอย่างถูกต้องกับในประเทศมาเลเซียด้วย สำนักข่าวเบอร์นามาของมาเลเซีย รายงาน
การแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถสร้างปัญหาให้กับภรรยาและบุตร นายยามิล เคอร์ บาฮารอม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเลเซีย กล่าว ดังนั้น จึงเสนอให้มีการสร้างกลไกร่วมกับคณะกรรมการศาสนาอิสลามจากห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวกับการแต่งงานและการหย่าร้างของคู่แต่งงานชาวมาเลเซีย
คู่แต่งงานที่ไม่มีการจดทะเบียนแต่งงานกับรัฐบาลมาเลเซีย อาจต้องเผชิญกับปัญหายุ่งยากในการลงทะเบียนการเกิดบุตร แม้ว่าการแต่งงานนั้น จะได้รับการยอมรับตามศาสนาอิสลามก็ตาม รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเลเซีย กล่าวแก่สำนักข่าวเบอร์นามา
“เพราะมีชาวมาเลเซียแต่งงานในภาคใต้ของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี เราต้องแก้ไขเรื่องนี้ เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต" นายยามิล เคอร์ บาฮารอม กล่าว
"ปัญหาจะยุ่งยากขึ้นเมื่อเกิดการตายหรือหย่าร้าง ซึ่งทำให้การระบุทายาทในการรับมรดกเกิดปัญหาขึ้น"
แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ
หนึ่งในบรรดานักธุรกิจชายชาวมาเลเซียผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ที่ข้ามแดนมาแต่งภรรยาใหม่ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ตนเองแต่งงานกับภรรยาคนที่สอง ที่มัสยิดแห่งหนึ่งในประเทศไทย เมื่อปี 2556 หลังจากที่ภรรยาหลวงไม่อนุญาตให้แต่งภรรยาใหม่
และบอกอีกว่า ปัจจุบันภรรยาหลวง ยังไม่รู้ว่าตนมีภรรยาใหม่เพิ่มแล้ว – เขาไปหาภรรยาใหม่สัปดาห์ละสองครั้ง ระหว่างการเดินทางไปติดต่อธุรกิจ ที่ทางเหนือของรัฐเปรัค ที่เธออาศัยอยู่
ซึ่งตนเองได้ใช้บริการของเอเย่นต์จัดการแต่งงานในโกตาบารู รัฐกลันตัน ที่มีเขตแดนอยู่ตรงข้ามประเทศไทย
“กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว เราออกจากโกตาบารูแปดโมงเช้า พอตกบ่ายเราเป็นสามีภรรยากันเรียบร้อยแล้ว” ชายมาเลเซียคนดังกล่าว เล่าให้เบนาร์นิวส์ฟัง "เราใช้เพียงบัตรประจำตัวประชาชนของเรา และพยานสองคน มาร่วมยืนยัน – เท่านั้นเอง”
“ค่าใช้จ่ายถูก เราจ่ายเงินประมาณ 1,200 ริงกิต (ประมาณ 10,100 บาท) สำหรับค่าเดินทาง ค่าน้ำมัน อาหาร และค่าธรรมเนียมให้แก่คณะกรรมการศาสนาอิสลาม”
เมื่อกลับถึงมาเลเซียทั้งสองคน ไปจ่ายค่าปรับที่ศาลอิสลามคนละ 1,000 ริงกิต (ประมาณ 8,400 บาท) แล้วไปจดทะเบียนสมรสกับสภาศาสนาของมาเลเซีย
ไฮรีซ อาซีม อซิซิ ในกัวลาร์ลัมเปอร์ มีส่วนในรายงานฉบับนี้