ตำรวจเข้าจับ “ธัชพงษ์ แกดำ” นักกิจกรรมวายพีดีขับไล่พลเอกประวิตร

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมตัว นายธัชพงษ์ แกดำ จากกลุ่มเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD) ที่จัดกิจกรรมเชิงสัญญลักษณ์ขับไล่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ป้อม) รองนายกรัฐมนตรี ในช่วงเย็นวันอังคารนี้ บนทางเดินลอยฟ้าสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี ก่อนนำตัวไปตั้งข้อหาฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ (พ.ร.บ.ชุมนุมฯ) ที่สน.ยานนาวา

กลุ่มเยาวชนเพื่อสังคมนิยมประชาธิปไตย (YPD) นัดรวมตัวและจัดกิจกรรม “ปฎิบัติการขืนใจป้อม” ในเวลา 17.00 น. โดยเป็นการจัดกิจกรรมครั้งที่ 2 หลังจากเคยจัดแสดงละครใบ้ “ตามใจป้อม” เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ซึ่งวันนี้นายธัชพงษ์แย้งว่าตนไม่ได้ทำผิด พรบ.ชุมนุมในที่สาธารณะ

“วันนี้ผมมาคนเดียว มาวันนี้จะมาแสดงศิลปะ ไม่ได้มาชุมนุมตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพราะฉะนั้นมันไม่เข้าเงื่อนไขของ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ และตรงที่เราอยู่ตรงนี้ไม่ได้อยู่ในเขตรัศมี 150 เมตรกับวัง เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยของผม” นายธัชพงษ์ กล่าว

กลุ่มวายพีดีระบุว่า การจัดกิจกรรมทั้ง 2 ครั้ง เพื่อเป็นการรณรงค์ต่อต้านการทุจริต โดยมุ่งเป้าให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อกรณีที่เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2560 พล.อ.ประวิตร ถูกจับภาพขณะเตรียมตัวถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีว่า สวมใส่แหวนเพชร และนาฬิกายี่ห้อริชาร์ด มิลล์ ซึ่งเป็นนาฬิการาคาแพง คาดว่า มีมูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ทำให้ต่อมา นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบ พล.อ.ประวิตรว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการจงใจปกปิดข้อมูลในการยื่นบัญชีทรัพย์สิน หรือเป็นการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่

ซึ่งในต่อมา ป.ป.ช. แจ้งให้รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเรื่องนี้ และ พล.อ.ประวิตรได้เปิดเผยว่า ชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ไปแล้ว 2 ครั้ง ขณะที่ประเด็นนี้กลายเป็นที่สนใจของ สื่อสังคมออนไลน์ และสื่อมวลชน จนมีการรวบรวมภาพนาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตรเคยสวมใส่ในวาระต่างๆ ทำให้ทราบว่า พล.อ.ประวิตรเคยใส่นาฬิการาคาแพง เช่น ยี่ห้อริชาร์ด มิลล์ โรเล็กซ์ และปาเต๊ะ ฟิลลิป เป็นต้น เมื่อถูกสื่อมวลชนสอบถามถึงเรื่องนี้ พล.อ.ประวิตร จึงได้ยืนยันว่าหาก ป.ป.ช. ตรวจสอบแล้วพบว่า ตนเองทำผิดกฎหมายก็จะลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีทันที

ตำรวจระงับการแถลงข่าวของกลุ่ม MKB39

ในช่วงเช้าวันเดียวกัน น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา เปิดเผยในการแถลงข่าวความคืบหน้าการถูกดำเนินคดีที่ข้างอาคารมณียา เซนเตอร์ ที่ตั้งของสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) หลังจากที่ครั้งแรกตั้งใจจะจัดแถลงข่าวที่สมาคมฯ แต่ เจ้าหน้าที่สมาคมฯ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกพบ และผู้จัดการอาคารไม่สะดวกให้ใช้สถานที่ โดยระบุว่า รู้สึกกังวลว่า ตนเองและผู้ชุมนุมรวม 39 คน จะถูกนำตัวฝากขังและคัดค้านการประกันตัว แต่ยืนยันจะต่อสู้คดี

“ตอนนี้ เรามีชื่อเล่นแล้ว เอ็มบีเค 39 ถูกตั้งข้อหาหนักสุดก็คดี 116 ความมั่นคง เบาสุดก็ ตำรวจบอกว่าจะฝากขังแน่ๆ ซึ่งผิดหลักการเพราะกฎหมายทั่วโลกผู้ต้องหาถือเป็นผู้บริสุทธิ์ มาว่าเราจะหลบหนีได้ยังไงในเมื่อเราไปเกาะรั้วขอรายงานตัวเลย และวันนี้ตั้งใจมาบอกว่า เราจะไปรายงานตัวตามนัด จะคัดค้านการประกันตัวด้วย เป็นข้อกังวลมากๆ เพราะเงินประกันตัวรวมกันเกิน 2 ล้าน แกนนำ 9 คน 2 แสน ที่เหลือ 30 คน คนละ 6 หมื่นบาท” น.ส.ณัฏฐา กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวที่ด้านล่างเอฟซีซีที

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน ได้ตั้งข้อหา 9 แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง คือ นายรังสิมันต์ โรม นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นายอานนท์ นำภา นายเอกชัย หงส์กังวาน นายสุกฤษฎ์ เพียงสุวรรณ นางนัฎฐา มหัทธนา นายสมบัติ บุญงามอนงค์ และนายวีระ สมความคิด ในข้อหายุยงปลุกปั่น (ม.116 ของกฎหมายอาญา) และขัดคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2558 (ห้ามการชุมนุมตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป) และตั้งข้อหากับผู้ร่วมชุมนุมอีก 30 คน ในความผิดฝ่าฝืน พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ (พ.ร.บ.ชุมนุมฯ) มาตรา 7 ที่ห้ามจัดการชุมนุมใกล้เขตพระราชวังเกิน 150 เมตร (พระราชวังสระปทุม) โดยได้เรียกเข้ารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา และเรียกตัวครั้งที่สองในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ ปัจจุบัน กลุ่มคนอยากเลือกตั้งได้ระดมทุนบริจาคเพื่อใช้เป็นเงินประกันตัวระหว่างสู้คดีหากถูกฝากขัง

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิเสธที่จะแสดงความคิดเห็น หรือเปิดเผยข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับการดำเนินการควบคุมการแสดงความคิดเห็นของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง และกลุ่มวายพีดีในวันนี้