เจ้าหน้าที่ควบคุมตัว 10 ผู้ต้องสงสัยคดียิงเด็กนักเรียนแปดขวบและครอบครัวตาย
2017.03.10
ปัตตานี

ในวันศุกร์ (10 มีนาคม 2560) นี้ พันเอกปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน ภาค 4 ส่วนหน้า ได้แถลงข่าวความคืบหน้า คดียิงครอบครัวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านในอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส จนเสียชีวิตว่า เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 10 ราย ซึ่งให้การเป็นประโยชน์ที่เชื่อมโยงกับผู้อยู่เบื้องหลัง
"จากการประสานการปฏิบัติทุกฝ่ายทำให้ห้วงที่ผ่านมาสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ จำนวน 10 คน จากการซักถามในชั้นต้น ได้ให้การที่เป็นประโยชน์ และสามารถเชื่อมโยงกลุ่มบุคคลที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ได้ สำหรับสาเหตุและรายละเอียด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนสอบสวนต่อไป” พันเอกปราโมทย์ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า
“ส่วนผลการรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปืนที่ใช้ในการก่อเหตุเป็นอาวุธสงคราม จำนวน 5 กระบอก และเป็นปืนพกขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก มีความเชื่อมโยงกับคดีสำคัญในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งสิ้น 23 คดีที่สำคัญ ก่อเหตุในพื้นที่อำเภอรามัน อำเภอยะหา จังหวัดยะลา และอำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส" พันเอกปราโมทย์ กล่าวเพิ่มเติม
สำหรับคดีที่สำคัญๆ ใน 23 คดี นั้นประกอบด้วย หนึ่ง เหตุยิงนายรอเส๊ะ ยะดาหะ เสียชีวิต พร้อมพวกได้รับบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดบริเวณข้างมัสยิด บ้านปาแล อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 6 ก.ค.2558 สอง เหตุโจมตีฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองตำบลบาโร๊ะ อำเภอยะหา จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2558 และสาม เหตุยิงนายอนุรักษ์ ตอแลมาและพวก ได้รับบาดเจ็บ 4 คน ในอำเภอรือเสาะ เมื่อวันที่ 17 ต.ค. 2558
เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2560 นี้ กลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงรถผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 บ้านธรรมเจริญ ตำบลโคกสะตอ อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 ราย รวมทั้งลูกชายวัยแปดขวบและภรรยา และได้รับบาดเจ็บอีก 2 ราย
ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 ได้เผยข้อมูลว่า ผลจากการตรวจสอบปลอกกระสุนปืนเล็กขนาด 5.56 มม. จำนวน 32 ปลอก พบว่าคนร้ายใช้ยิงมาจากอาวุธปืน 2 ชนิด จำนวน 5 กระบอก คือ อาวุธปืนเอ็ม-16 จำนวน 3 กระบอก และ อาวุธปืนเอชเค-33 จำนวน 2 กระบอก มีความเชื่อมโยงการก่อเหตุคดีสำคัญถึง 23 คดี มีผู้เสียชีวิต 13 ราย ได้รับบาดเจ็บ 4 ราย
พันเอกปราโมทย์ กล่าวอีกว่า พลโทปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 และผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามระเบียบของทางราชการ และให้ทุกภาคส่วนเร่งคลี่คลายคดีดังกล่าว โดยการรวบรวมหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ข้อมูลทางด้านการข่าว เพื่อบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิด
"จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่านายสมชาย ทองจันทร์ ผู้เสียชีวิต เป็นคนดีและเป็นที่ยอมรับของพี่น้องทั้งชาวไทยพุทธและมุสลิม และเป็นผู้ที่ให้ความร่วมมือกับภาครัฐเป็นอย่างดี” พันเอกปราโมทย์ กล่าว
เหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความโกรธแค้นแก่ชาวไทยพุทธในพื้นที่อำเภอรือเสาะ จนมีการเรียกร้องให้รัฐใช้มาตรการเด็ดขาดกับขบวนการก่อเหตุรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ได้มีกลุ่มคนที่หวังเสี้ยมสถานการณ์ใช้สื่อสังคมออนไลน์ปล่อยข่าวลวงว่าชาวไทยพุทธจะทำร้ายชาวไทยมุสลิม
"เวลานี้มีข้อความที่ต้องการเสี้ยมให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องไทยพุทธกับพี่น้องไทยมุสลิม ซึ่งถือเป็นแผนการร้ายมาก ผสมกับใช้วิธีการนำเสนอสร้างเรื่องราวให้มีความน่าเชื่อถือ ทำให้คนอ่านคนฟังก็หลงเชื่อเข้าใจผิด เพื่อการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผมขออาสาเปิดสายให้ท่านสอบถามข้อเท็จจริง ตามหมายเลข 0890011999" นายภาณุ อุทัยรัตน์ เลขานุการ คณะผู้แทนพิเศษของรัฐบาล กล่าว