ประยุทธ์ร่วมหารือด้านกลาโหม-การค้ากับสหรัฐ

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางถึงสหรัฐอเมริกาและได้พบปะหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ก่อนการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ สมัยพิเศษ (ASEAN–US Special Summit) ครั้งที่ 2 โดยย้ำว่าจะไม่เลือกข้างชาติมหาอำนาจใด ในท่ามกลางความผันผวนของการเมืองโลก

ในวันพฤหัสบดี (เวลา 16.00 น. วันที่ 12 พฤษภาคม 2565 ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ) พล.อ. ประยุทธ์ ยังได้พบกับนายลอยด์ เจ. ออสติน (Lloyd J. Austin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา โดยหวังพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคง

“สองฝ่ายได้หารือถึงแนวทางเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างความสามารถของกองทัพและกำลังพล การฝึก/ศึกษาทางทหาร การฝึกร่วม/ผสม ความร่วมมือด้านไซเบอร์และอวกาศ และความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ตลอดจนได้หารือถึงการต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายและการปราบปรามการค้ามนุษย์” นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย

ไทยเป็นชาติพันธมิตรนอกองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือที่สำคัญ (major on-NATO ally) ของสหรัฐ ซึ่งเมื่อสหรัฐอเมริกามีข้อขัดแย้งกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเรื่องทะเลจีนใต้และไต้หวันทวีความเข้มข้นมากขึ้น ทำให้ประชาชนไทยมีความกังวลถึงการที่ประเทศไทยจะถูกกดดันให้เลือกข้าง ซึ่งนับรวมถึงกรณีสงครามรัสเซีย-ยูเครนอีกด้วย  

อย่างไรก็ตาม พล.อ. ประยุทธ์ ได้กล่าวก่อนการเดินทางไปร่วมการประชุมซัมมิตฯ ว่า ประเทศไทยจะคงความเป็นกลางไว้

“ที่มาวันนี้มาประชุมอาเซียน-สหรัฐอเมริกา สมัยพิเศษ หลายคนก็จับตามองว่า นายกฯ จะไปอยู่ข้างไหนอะไรยังไง เราจะไปอยู่ข้างใคร เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด ทำยังไงประเทศของเราจะไม่เสียหาย ทำยังไงประชาชนไม่ขาดแคลน ก็ต้องเคารพกติกาของเขาด้วย นั่นคือหลักการของเรา เราไม่ขัดแย้งกับใครทั้งสิ้น ก็ว่ากันไปตามหลักการ” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวในระหว่างการพบปะกับกลุ่มคนไทยในสหรัฐ ในช่วงเย็นตามเวลาท้องถิ่น

ด้านกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ได้ระบุผ่านทางเอกสารข่าวว่า “นายลอยด์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พล.อ. ประยุทธ์ ได้พูดคุยถึงเรื่องการพัฒนากำลังรบให้ทันสมัย, การพัฒนาการศึกษาทางด้านการทหาร, และการสนับสนุนความสามารถในการปฏิบัติการร่วมกันของกองทัพไทยและกองทัพสหรัฐ รวมทั้งได้แลกเปลี่ยนทัศนะในเรื่องบรรยากาศด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันในการรักษาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นไว้ และเพิ่มความร่วมมือด้านความมั่นคงเพื่อเตรียมรับมือเหตุการณ์ข้างหน้า" 

ทั้งนี้ นายลอยด์ ออสติน ยังได้กล่าวที่อาคารเพนตากอน ที่ทำการของกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เมื่อวานนี้ว่า "ผมจะเดินทางไปประเทศไทยเป็นครั้งแรก ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ในเดือนหน้า"

ร่วมผลักดันเศรษฐกิจ

ในวันเดียวกันนี้ จากนั้น พล.อ. ประยุทธ์ ได้พบปะกับ นางจีน่า เรมอนโด (Gina M. Raimondo) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สหรัฐอเมริกา และนางแคทเธอรีน ไท่ (Katherine Tai) ผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา โดยผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจ หวังเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน และฟื้นฟูวิถีชีวิตผู้คนหลังการระบาดของโควิด-19 และหวังว่าเอกชนสหรัฐฯ จะช่วยผลักดันความร่วมมือ

นายธนกร โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไทยได้เชิญชวนภาคเอกชนสหรัฐ ร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในอาเซียน เช่น โครงข่ายอินเทอร์เน็ต เทคโนโลยีคลาวด์ในอุตสาหกรรมการผลิต ดาต้าเซ็นเตอร์ และการให้บริการคอนเทนท์ ตลอดจนการสนับสนุนการพัฒนาและบ่มเพาะธุรกิจดิจิทัลสตาร์ทอัพ ทั้งนี้ ไทยมีไทยแลนด์ดิจิทัลวัลเลย์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ EECi ที่ภาคเอกชนสหรัฐ สามารถเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจดิจิทัล และขยายไปสู่ภูมิภาคได้

นายเอียชา การ์ตี นักวิจัยศูนย์ภูมิภาคด้านสังคมศาสตร์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เราก็ได้แต่หวังว่ารัฐบาลไทยจะสามารถเจรจาเพิ่มคู่ค้าเพื่อมาลงทุนในภาคต่าง ๆ โดยเฉพาะที่รัฐบาลได้กล่าวถึงในที่ประชุมเอาไว้ เช่น พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมดิจิทัล นวัตกรรมการแพทย์ เป็นต้น

ในวันแรกของการเยือนสหรัฐครั้งนี้ พล.อ. ประยุทธ์ และคณะ ยังได้ร่วมพูดคุยกับตัวแทนสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ และชาวไทยในสหรัฐฯ อเมริกา โดยในช่วงเย็นตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำอาเซียน ได้ร่วมรับประทานอาหารกับนายโจ ไบเดน (Joseph R. Biden Jr.) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วย

ส่วนในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 ตามเวลาท้องถิ่น ผู้นำทั้งหมดจะได้ร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ ซึ่งจะมีการประชุมในลักษณะเวิร์คกิงลันช์ โดยจะมีการพูดคุยเรื่องความร่วมมือทางทะเล และการฟื้นฟูประเทศในด้านการสาธารณสุขที่เสียหายจากการระบาดของโควิด-19

ในตอนบ่าย ประธานาธิบดีไบเดน จะนำการพูดคุยร่วมกับผู้นำอาเซียน เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลก, พลังงานสะอาด, การเปลี่ยนไปใช้พลังงานปราศจากมลพิษ และเรื่องสาธารณูปโภคที่ยั่งยืน

คุณวุฒิ บุญฤกษ์ ในเชียงใหม่ ร่วมรายงาน