ปานปรีย์ : ไทยพร้อมเป็นตัวกลางสันติเมียนมา พร้อมดึงอาเซียนร่วม
2024.04.23
อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เดินทางเยือน อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อติดตามสถานการณ์สู้รบในเมียนมาอย่างใกล้ชิด ระบุว่า ไทยพร้อมเป็นตัวกลางในการนำเมียนมาสู่สันติ โดยระบุว่า ได้เริ่มพูดคุยกับกลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมาแล้ว และพร้อมดึงสมาชิกอาเซียนร่วมแก้ไขปัญหาด้วย
“มีการพูดคุยในระดับหนึ่งแล้ว ของกลุ่มต่าง ๆ ทั้งชาติพันธุ์ ที่มีอาวุธอยู่ด้วย ทั้งในส่วนของรัฐบาลเมียนมาก็พูดคุย ในส่วนของเมียวดีก็ยังเป็นเรื่องที่การเจรจายังอยู่ในฝ่ายของเขา เขายังไม่มีเวลาที่จะมาคุยกับเรา แต่เขารู้แล้วว่า เราพร้อมที่จะเป็นตัวเชื่อมตัวประสาน พร้อมที่จะแก้ปัญหาของเมียนมาทั้งระบบ เพื่อให้กลับสู่สันติภาพโดยเร็ว” นายปานปรีย์ กล่าว
นายปานปรีย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “เราคิดว่า อาเซียนควรมีส่วนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพราะเมียนมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของอาเซียน ซึ่งตรงนี้มีการส่งข้อความไปถึงอาเซียนแล้ว สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ซึ่งคิดว่าเร็ว ๆ นี้ น่าจะตอบมา และคงมีการประชุมระดับอาเซียนอีกด้วย”
นายปานปรีย์ ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา เดินทางลงพื้นที่พร้อมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และนายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ด้านความมั่นคง นายสุทิน ระบุว่า “สถานการณ์ ณ วันนี้ อยู่ในระดับที่เรารับมือได้ เราเตรียมการในระดับปกติไม่มีความจำเป็นที่จะยกระดับการรับมือ มีกองกำลังที่พร้อมจะผลักดัน หรือให้ความอบอุ่นให้กำลังใจชาวบ้านได้ เรามีข้อตกลงกับฝั่งโน้นว่า ถ้าหากจะต้องนำเครื่องบินขึ้นมาจะต้องแจ้งเราก่อน ถ้าใกล้ชิดพรมแดนเรา เราก็พร้อมสกัดทันที แต่ก็ยังไม่พบการรุกล้ำกล้ำกลืนทางอากาศ”
ขณะที่ สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 1 บ้านริมเมย อ.แม่สอด ฝั่งไทย เปิดทำการตามปกติ แต่ฝั่งเมียนมายังไม่มีคนข้ามมาเนื่องจากระบบการออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราวของเมียนมาขัดข้อง แต่สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 บ้านวังตะเคียนใต้ อ.แม่สอด ปิดชั่วคราวต่อเนื่องเป็นวันที่สี่
ศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ระบุว่า ฝ่ายไทยรับทราบข้อมูลว่า ช่วงสัปดาห์นี้ ในเมียนมาลึกเข้าไปจากฝั่งไทยประมาณ 1.5-12 กิโลเมตร ยังคงมีการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับฝ่ายต่อต้านเป็นระยะ โดยมีการใช้อาวุธหนัก และใช้อากาศยานทิ้งระเบิดในพื้นที่บางส่วน แต่ไม่มีผลกระทบต่อฝั่งไทย
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมาใน จ.ตาก 735 คน ในนั้นเป็นเด็ก 255 คน ขณะเดียวกัน มีเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลพื้นที่จังหวัดตาก สะสมแล้ว 114 ราย ในวันจันทร์ที่ผ่านมา นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.แม่สอด ยืนยันว่า ไทยพร้อมให้การรักษาผู้ได้รับผลกระทบโดยไม่แบ่งฝ่าย
หลังกองทัพเมียนมาทำรัฐประหารยึดอำนาจจาก นายวิน มินต์ ประธานาธิบดี และนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ในเมียนมาก็เกิดการสู้รบตลอดมา ทั้งจากประชาชนที่ต่อต้านการรัฐประหาร และกองกำลังชาติพันธุ์ ทำให้มีประชาชนพลัดถิ่นในประเทศเมียนมาจำนวนมาก
ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2567 กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen Nation Liberation Army - KNLA) กลุ่มสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union - KNU) และกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People's Defence Force - PDF) ได้ประกาศว่า สามารถควบคุมพื้นที่เมืองเมียวดีไว้ได้ ทำให้ประชาชนเมียนมาจำนวนหนึ่งข้ามแดนมายังประเทศไทยเพื่อหนีภัยสงคราม และหลายฝ่ายประเมินกันว่าจะมีการสู้รบเกิดขึ้นอีกระยะหนึ่ง
ก่อนหน้านี้มีสถานการณ์ตึงเครียด ปลายเดือนมีนาคม 2567 รัฐบาลไทยได้เริ่มโครงการระเบียงช่วยเหลือทางมนุษยธรรม (Humanitarian Assistance Corridor) แก่ประชาชนเมียนมาที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบในประเทศ โดยส่งมอบถุงยังชีพจำนวน 4,000 ถุง ซึ่งบรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง และของอุปโภคบริโภคอื่น ๆ สำหรับประชาชนเมียนมาประมาณ 20,000 คน ในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยง
สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ ผู้อำนวยการมูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า รัฐบาลไทยควรวางแผนระยะยาวเพื่อรับมือปัญหาในเมียนมา
“ตอนนี้ กองทัพเมียนมา เพลี่ยงพล้ำมากแล้ว ค่อนข้างแน่นอนว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง อนาคตก็คงจะมีการเกิดขึ้นของสหพันธรัฐ มีการซอยย่อยการปกครองสำหรับรัฐบาลไทยยังคงขาดแผนการระยะยาว มีเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ไทยควรยกระดับท่าที เช่น เชิญอาเซียนประชุมพิเศษเพื่อรับฟังความเห็นจากประเทศต่าง ๆ เชิญภาคส่วนอื่น ภาคประชาสังคม สื่อมวลชน กระทั่งองค์กรในเมียนมา” นางชลิดา กล่าว
“ไทยควรช่วยเหลือมากกว่า ระเบียงมนุษยธรรมแห่งเดียว เพราะคนเมียนมาได้รับผลกระทบมากกว่านั้นเป็นสิบเท่า ควรมีพื้นที่ช่วยเหลือหลาย ๆ ที่กระจายทั่วประเทศ ควรมองภาพใหญ่ข้ามเมียวดีได้แล้ว แม้กระทั่งการพูดคุย ก็ควรคุยกับ NUG เพราะเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า รัฐบาลทหารไปต่อไม่ไหวแล้ว” นางชลิดา กล่าวเพิ่มเติม
รุจน์ ชื่นบาน ในกรุงเทพฯ ร่วมรายงาน