กรมควบคุมมลพิษแจ้งความ สตาร์ ปิโตรเลียม ทำน้ำมันรั่วรอบสอง
2022.02.14
กรุงเทพฯ

ในวันนี้ กรมควบคุมมลพิษ ส่งตัวแทนเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้หาตัวผู้กระทำความผิดกรณีเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณมาบตาพุด ของบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด มหาชน (SPRC) เมื่อวันสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นน้ำมันค้างท่อในจุดเดียวกันกับการรั่วครั้งแรก ขณะที่มีผู้ได้รับผลกระทบยื่นขอรับการเยียวยา จนถึงวันนี้กว่า 7 พันราย
นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ได้มอบหมายให้นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธุ์ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย รักษาการรองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ และนายอาวีระ ภัคมาตร์ ผู้อำนวยการสำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) เดินทางไปพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรมาบตาพุด เพื่อแจ้งความให้หาตัวผู้กระทำความผิด กรณีน้ำมันรั่วไหลที่มาบตาพุด เป็นครั้งที่สอง เมื่อวันที่ 10 ก.พ. โดยมีน้ำมันรั่วออกมาประมาณ 5,000 ลิตร
นอกเหนือจากการกล่าวโทษครั้งแรก เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565 ซึ่งในครั้งนั้น มีสาเหตุมาจากน้ำมันรั่วไหลในวันที่ 25 มกราคม
“น้ำมันดิบที่รั่วไหลดังกล่าวข้างต้น ทำให้น้ำมันไหลลงไปในทะเล อันอาจจะเป็นเหตุให้เกิดเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตหรือต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือในทะเล เข้าข่ายเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ. 2456 มาตรา 119 ทวิ ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ระบุ
"และต้องชดใช้เงินค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปในการแก้ไขสิ่งเป็นพิษหรือชดใช้ค่าเสียหายเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังอาจจะเป็นความผิดทางอาญาตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย”
ทั้งนี้ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมเจ้าท่าได้เข้าแจ้งความบริษัทฯ เพิ่มอีก 4 ข้อหา คือ กรณีก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมซ้ำเป็นครั้งที่สอง, ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้ระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือ จนกว่าจะซ่อมแซมแก้ไขให้แล้วเสร็จ, ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งพยานหลักฐานที่ใช้ในการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และความผิดตามกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เมื่อวานนี้ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) ได้ออกจดหมายแถลงการณ์ระบุว่า ฟิล์มน้ำมันประมาณ 5,000 ลิตร ที่พบในทะเล เป็นน้ำมันดิบที่รั่วไหลระหว่างการเตรียมการจะเอาน้ำมันออกจากท่อที่อยู่ใต้ทะเล ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่รั่วก่อนหน้านี้
“เมื่อพบว่ามีการรั่วไหลของน้ำมันดิบออกจากท่ออ่อนใต้ทะเล บริษัทฯ จึงหยุดการปฏิบัติกิจกรรมที่บริเวณทุ่นเดี่ยวกลางทะเล (SPM) ทันที และระดมทีมตอบโต้ภาวะฉุกเฉินปฏิบัติการตอบโต้ทันที โดยการนำทุ่นกักน้ำมัน (Boom) มาล้อมบริเวณที่พบน้ำมัน ทำการฉีดพ่นสารขจัดคราบน้ำมันด้วยเรือ ใช้วัสดุดูดซับน้ำมันกลางทะเล (Absorbent Boom) ใช้เรือในการตีกวนน้ำเพื่อให้น้ำมันแตกตัว (Agitation) ส่งนักประดาน้ำลงสำรวจใต้น้ำอย่างต่อเนื่อง” แถลงการณ์ระบุ
นอกจากนี้ ยังได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือภาคที่ 1 จัดเฮลิคอปเตอร์บินขึ้นทำการฉีดพ่นสารขจัดคราบน้ำมัน ไปโปรยบริเวณพื้นที่เกิดเหตุ และจัดกำลังพลเข้าประจำพื้นที่บริเวณหาดแม่รำพึง จังหวัดระยอง เพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
แถลงการณ์ยังระบุด้วยว่า แม้ว่าบริษัทฯ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะลดผลกระทบให้เกิดขึ้นน้อยที่สุดแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ยังสร้างความเสียหายให้กับชุมชน การประมง ธุรกิจท้องถิ่น และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ ขอโทษและยินดีที่จะพิจารณาชดใช้ความเสียหายต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างเป็นธรรมและสมเหตุสมผล
ในตอนเย็นวันจันทร์นี้ สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ในฐานะศูนย์ประสานการปฏิบัติกรณีคราบน้ำมันรั่วไหล (ศปน.) แจ้งว่า พบคราบน้ำมันดิบในทะเลห่างจากแนวชายฝั่ง 4 กิโลเมตร และห่างจากเกาะเสม็ด 16.5 กิโลเมตร ซึ่งได้จัดเรือเฝ้าระวังในพื้นที่ชายหาดแม่รำพึง จนถึงเกาะเสม็ด
เหตุการณ์น้ำมันรั่วเมื่อวันที่ 10 ก.พ. ปริมาณ 5,000 ลิตร นับเป็นการรั่วไหลของน้ำมันดิบ ครั้งที่ 2 จากเหตุน้ำมันดิบรั่วในรอบแรก ปริมาณ 40,000 ลิตร เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2565 และมีผู้ร้องทุกข์กรณีน้ำมันดิบรั่วไหลสะสม จนถึงวันนี้กว่า 7,000 รายแล้ว และยังไม่ได้รับการชดเชย โดยคาดว่าบริษัทฯ จะจัดให้มีการประชุม เพื่อพิจารณาการจ่ายชดเชยเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในสัปดาห์นี้
โดยบริษัทจะจัดประชุมคณะกรรมการกำกับติดตาม คณะทำงานประสานการดำเนินการชดใช้ค่าเสียหายระหว่าง บริษัท SPRC กับผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ณ โรงแรมระยองบีช หาดแม่ราพึง