องค์การนิรโทษกรรมสากลยกเลิกการแถลงข่าว หลังถูกเตือนไม่ให้ใบอนุญาตทำงาน

สมชาย ขวัญกิจเศวต
2016.09.28
กรุงเทพฯ
TH-Ginbar-1000 นายยูวาล กินบาร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายขององค์การนิรโทษกรรมสากล พูดคุยกับผู้สื่อข่าวหลังจากตัดสินใจยกเลิกแถลงข่าวโจมตีรัฐบาลไทย วันที่ 28 ก.ย. 2559
เบนาร์นิวส์

การแถลงข่าวของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อเผยแพร่รายงานการทรมานและการปฎิบัติที่โหดร้ายในประเทศไทยโดยสำนักเลขาธิการใหญ่ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ต้องยุติลงอย่างกระทันหัน ก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น หลังเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานที่เข้ามาสังเกตุการณ์ภายในงานเตือนว่า เป็นการกระทำผิดกฎหมายแรงงานของไทย หากตัวแทนจากองค์การนิรโทษกรรมสากลต่างชาติ พูดบนเวทีโดยปราศจากใบอนุญาตทำงาน

ตามกำหนดการเดิม ในวันนี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือองค์การนิรโทษกรรมสากล จะแถลงรายงานในหัวข้อ “บังคับให้มันพูดให้ได้ภายในพรุ่งนี้: การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายในประเทศไทย” โดยมีผู้แถลงที่สำคัญ เช่น นายยูวาล กินบาร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายขององค์การนิรโทษกรรมสากล และราเฟนดี จามิน ผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่กำลังดำเนินการขอใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยเป็นผู้แถลง

นายยูวาล กินบาร์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายขององค์การนิรโทษกรรมสากล ที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน ได้ยุติการแถลงข่าวที่จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท 26 แต่ได้กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว ภายหลังยุติการแถลงว่า ตนเองทำงานที่สำนักใหญ่ของแอมเนสตี้ฯ ในกรุงลอนดอน แต่ได้มาทำกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนในเมืองไทยโดยมีวีซ่าธุรกิจ

“โดยส่วนตัว สำนักงานผมอยู่ในลอนดอน ผมมีวีซ่าธุรกิจครอบคลุมปีนี้ทั้งปี... สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องหลักของธุรกิจของผม ซึ่งเขาทราบดี ผมไม่เห็นว่าทำไมผมจะทำกิจกรรมด้านนี้ไม่ได้” นายยูวาลกล่าวแก่ผู้สื่อข่าว

“ขอพูดอีกครั้งว่า เราไม่ได้กล่าวหาให้ร้ายรัฐบาล หรือให้ร้ายประเทศไทย แต่ตำหนิเรื่องการกระทำการทรมาน” ยูวาล กล่าว

“ปัญหาของทหารไทย คือการใช้อำนาจบทเฉพาะกาลของกฎหมายและคำสั่งหัวหน้า คสช. ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังประชาชนได้โดยที่เขาสามารถปกป้องตนเองได้เลยเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งกฎหมายปกติ ต้องให้นำตัวผู้ต้องสงสัยไปศาลภายใน 48 ชั่วโมง ทนายและญาติเข้าพบได้ แต่นี่ โอกาสแบบนี้ถูกขว้างทิ้งออกนอกหน้าต่างไป” นายยูวาลกล่าว

“เราพบว่าในระหว่างการควบคุมตัวโดยทหาร มีการทรมานผู้ถูกกักตัวด้วย” กล่าวทิ้งท้าย

'การกระทำสำคัญกว่าคำพูด'

หลังจาก คสช. ยึดอำนาจจากนักการเมือง คสช. ได้ออกคำสั่งเพิ่มอำนาจให้ศาลทหารพิจารณาคดีใน 4 ฐานความผิด อันประกอบด้วย ความผิดต่อพระมหากษัตริย์ ความผิดคดีความมั่นคง ความผิดในการฝ่าฝืนคำสั่งและประกาศ คสช. และความผิดในการครอบครองอาวุธสงคราม

ซึ่งแต่เดิมศาลทหารมีอำนาจในการพิจารณาคดีที่ทหารเป็นผู้กระทำความผิด เท่านั้น ไม่มีอำนาจพิจารณาคดีที่มีประชาชนเป็นจำเลย อำนาจของศาลทหารจึงถูกวิพากษ์-วิจารณ์จากองค์กรสิทธิมนุษยชนทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ และมีการเรียกร้องให้ยกเลิกการใช้อำนาจของศาลทหารตลอดมา

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เห็นว่า คสช. ควรยกเลิกการใช้ศาลทหารพิจารณาคดีของพลเรือนทั้งหมด โดยให้มีผลย้อนหลังด้วย เพื่อเป็นการคืนสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

“หลังรัฐประหาร มีประกาศ 3 ฉบับ ด้วยกันที่ครอบคลุมความผิด 4 ฐานความผิดด้วยกันคือ คดีความผิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ คดีความมั่นคง คดีฝ่าฝืนประกาศและคำสั่ง คสช. และคดีเกี่ยวกับอาวุธ ซึ่งมีสถิติ 1,546 คดี ที่ขึ้นสู่ศาลทหาร และมีจำนวนจำเลย 1,811 คน” น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ จาก ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน

การเผยแพร่ข้อมูลการทรมานอย่างโหดร้ายในประเทศไทยขององค์การนิรโทษกรรม สากล ที่แจกจ่ายแก่สื่อมวลชน ระบุว่า หลังจากใช้กำลังยึดอำนาจทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หน่วยงานของกองทัพบกไทยปล่อยให้วัฒนธรรมการทรมานและปฎิบัติที่โหดร้ายอื่นๆ แผ่ขยายไปทั่วประเทศ เช่น มี 74 กรณี ที่เจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจกระทำการทรมาน ผู้ถูกกักตัว นอกจากนั้น ยังมีการกล่าวครอบคลุมถึงการทรมานผู้ต้องสงสัย ว่าเป็นสมาชิกขบวนการก่อความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนใต้

แอมเนสตี้ฯ ได้ยกตัวอย่างกรณีของเหยื่อที่ถูกทารุณกรรมอย่างโหดร้ายในรายงานขององค์การ นิรโทษกรรมสากลเปิดเผยไม่นานหลังการรัฐประหาร คือ เรื่องของเหยื่อรายหนึ่ง ชื่อ ตุล (นามสมมุติ) ถูกทหารจับกุมและควบคุมตัวที่ลับนานกว่าเจ็ดวันถูกซ้อมด้วยการทุบตีอย่าง รุนแรงถูกคลุมศีรษะด้วยถุงพลาสติกจนสลบ และถูกทำให้ตื่นโดยใช้น้ำเย็นราดใส่ ถูกช็อตอวัยวะเพศด้วยไฟฟ้าและอื่นๆ

การยกเลิกการแถลงข่าวของแอมเนสตี้ฯ วันพุธนี้ ในกรุงเทพฯ "ก่อให้เกิดคำถามอย่างจริงจังเกี่ยวกับการที่องค์การระหว่างประเทศ จะสามารถจัดเวทีกิจกรรมสาธารณะในประเทศไทย" นายลอเรนท์ มิลลาน ผู้แทนคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ตามข่าวที่เกี่ยวข้อง

"เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นอีกหนึ่งการแสดงที่เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นรูปแบบใหม่ของการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนักต่อสู้ด้านสิทธิ ที่มีความพยายามในการรวบรวมข้อมูลเอกสารการทรมานในประเทศไทย" นายลอเรนท์ กล่าวแก่สำนักข่าวเอพี

คำชี้แจงจากโฆษก คสช.

ซึ่ง พันเอกปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ โฆษก คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้กล่าวในวันนี้ว่า ตนเองยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับแอมเนสตี้ฯ ในวันนี้ เพราะติดราชการ แต่ได้กล่าวปฏิเสธถึงข้อกล่าวหาในเรื่องการใช้อำนาจโดยเกินขอบเขตโดยเจ้าหน้าที่รัฐ

“ตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ที่ คสช. เข้ามาควบคุมการบริหารประเทศ คสช. ก็ระมัดระวังเรื่องการใช้อำนาจในทุกๆ อย่าง แม้ว่าในช่วงแรกอาจจะมีคำสั่ง คสช. มีการประกาศกฎอัยการศึก พอเริ่มคลี่คลายแล้วเราก็ลดความเข้มข้นนั้นลงมา” พันเอกปิยพงศ์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ทางโทรศัพท์

“สำหรับการที่จะไปทำอะไรนอกเหนือกรอบกฎหมายนี่ คงจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานภายใต้กรอบของกฎหมาย และอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่” พันเอกปิยพงศ์ กล่าวเพิ่มเติม

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง