ประชาชนชาวไทยร่วมทำบุญเพื่อถวายแด่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙
2016.10.17
กรุงเทพฯ

ในวันจันทร์ (18 ต.ค. 2559) นี้ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินไปในการสดับพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จไปยังที่ประดิษฐานพระบรมศพ ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย ทรงกราบ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการบูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวารที่หน้าพระแท่นพระมหาเศวตฉัตร
พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมจบแล้ว สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงทอดผ้าไตร 10 ไตร พระสงฆ์สดับปกรณ์ หลั่งทักษิโณทก พระสงฆ์ถวายอนุโมทนา เสด็จออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเสด็จพระราชดำเนินกลับ
ส่วนพสกนิกรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทั่วประเทศ ต่างได้ทำบุญเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เวบไซต์เรารักราชวงศ์จักรี ได้โพสต์คลิปทูลกระหม่อมอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่ได้เสด็จประทานอาหารแก่ประชาชนที่มาสักการะพระบรมศพที่บริเวณพระบรมมหาราชวัง และยังพระดำรัสกับประชาชนอย่างเป็นกันเองอีกด้วย
“มาแสดงความเสียใจ เราก็ครอบครัวเดียวกัน พ่อของเรา เรามีพ่อเดียวกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกันนะ ต่อไปเราก็ช่วยกันทำงาน เดินไปข้างหน้า ไม่ใช่เดินไปข้างหลัง” ทูลกระหม่อมอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดีทรงดำรัส
พระบรมฯ ทรงห่วงประชาชนสับสนการสืบสันตติวงศ์
ในวันศุกร์ที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมาร ทรงห่วงใยประชาชนคนไทยยามที่บ้านเมืองอยู่ระหว่างช่วงเวลาทุกข์โศก พร้อมกันนั้นยังมีประชาชนหลายคนกำลังประสบปัญหาอุทกภัย
“พระราชปรารภสำคัญเรื่องหนึ่ง คือขออย่าให้ประชาชนเกิดความสับสนหรือกังวลใจเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน หรือแม้แต่การสืบสันตติวงศ์ เพราะเรื่องนี้มีรัฐธรรมนูญ กฏมณเฑียรบาล และจารีตประเพณีกำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว” นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อประชาชน
พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่าหลังผ่านพ้นพระราชพิธีงานพระบรมศพผ่านพ้นไปแล้วระยะหนึ่ง ก็น่าจะถึงเวลาสมควรดำเนินการต่อไปได้
ทางด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มีการบำเพ็ญพระราชกุศลไปอย่างนี้ อีกกว่าหนึ่งปีจึงจะสามารถพูดถึงเรื่องอื่น เช่น การถวายพระเพลิง หรือการราชาภิเษกที่จะเกิดขึ้น
กระทรวงต่างประเทศตำหนิสื่อมวลชนต่างประเทศเสนอข่าวที่ผิดจากความเป็นจริง
เมื่อวันศุกร์เดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ ได้ออกแถลงการณ์ทั้งเป็นภาษาไทยและอังกฤษตำหนิสื่อมวลชนต่างประเทศบางสำนัก ที่รายงานข่าวเกี่ยวกับพระราชวงศ์โดยปราศจากข้อเท็จจริงหรือใช้คำที่รุนแรง
“โดยที่สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้รายงานข้อมูลที่ผิดจากความเป็นจริง หรือใช้ข้อความเท็จ กล่าวหา บิดเบือน หรือมีเนื้อหารุนแรง ซึ่งไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงที่ชาวไทยกำลังไว้อาลัยถวายพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ผิดจรรยาบรรณ ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ไม่คำนึงถึงความรู้สึกของคนไทย ตลอดจนขัดต่อขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมของไทย” แถลงการณ์กล่าว
“ในการนี้ กระทรวงการต่างประเทศจึงขอตำหนิการกระทำดังกล่าวที่ส่อความไม่บริสุทธ์ใจ เต็มไปด้วยอคติอย่างมากของผู้เขียน/ผู้ร่วมเขียน และองค์กรเหล่านั้น และขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเลี่ยงการกระทำนั้น ๆ เสีย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจจับสามผู้ต้องสงสัยหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหลังประชาชนแจ้งเบาะแส
ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ได้สนธิกำลังเข้าจับกุมผู้ต้องหา 3 ราย ในจังหวัดภูเก็ต สุราษฎร์ธานี และอุบลราชธานี จากกรณีการใช้เฟซบุ๊คส่วนตัวโพสต์ข้อความที่อาจเข้าข่ายความผิดกฎหมายอาญามาตรา 112
ที่อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี เจ้าหน้าที่จับกุมตัวนายเอกลักษณ์ (ขอสงวนนามสกุล) เจ้าของ หจก.อุบลคาร์เซ็นเตอร์ หลังจากได้รับการร้องเรียนให้ตรวจสอบผู้ใช้เฟซบุ๊ครายหนึ่ง ซึ่งโพสต์ข้อความเข้าข่ายการหมิ่นเบื้องสูง แต่ยังไม่มีการยืนยันว่า ได้มีการกระทำผิดเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูงตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่
กรณีที่สองเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บ่อผุด ได้จับกุมตัวนางอรอุมา (ขอสงวนนามสกุล) หลังจากที่นายกิตติ ยืนนาน ประธานกลุ่มรถตู้สมุย แจ้งความเอาผิดผู้ต้องหารายดังกล่าว เพราะเชื่อว่าผู้ต้องหารายนั้นใช้เฟซบุ๊คโพสต์ข้อความที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มีประชาชนกว่า 500 คนที่เดินทางมาเพื่อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่นำตัวผู้ต้องหามาขอขมาต่อพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พาผู้ต้องหารายดังกล่าว กราบขอขมาตามการเรียกร้องของประชาชน และได้นำตัวเข้าสู่ห้องขังทันที
รายที่สาม ชื่อนายมโนรุสดิน (ขอสงวนนามสกุล) ซึ่ง พ.ต.อ.ประวิทย์ สุทธิเรืองอรุณ ผกก.สภ.ท่าฉัตรไชย จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ท่าฉัตรไชย จังหวัดภูเก็ต ลงพื้นที่ตรวจสอบ จึงสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัย พร้อมกับของกลางเป็นยาเสพติดจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวไปเพื่อสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกระทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง
“ยังไม่สะดวกให้ข้อมูล เนื่องจากเจ้าหน้าที่กำลังเร่งส่งรายงานด่วนให้ตำรวจกลาง เพราะคดีนี้เป็นที่สนใจมาก” พ.ต.อ.ประวิทย์ เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์ผ่านทางโทรศัพท์