ประเทศไทย: พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 9 ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และ วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2017.10.26
กรุงเทพฯ
171026-TH-king-pyre-1000.jpg พระโกศทองใหญ่ขณะกำลังถูกอัญเชิญขึ้นสู่พระเมรุมาศ ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง วันที่ 26 ตุลาคม 2560
ภิมุข รักขนาม/เบนาร์นิวส์

พสกนิกรชาวไทยทั่วทั้งประเทศหลั่งน้ำตาอาลัย ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร อย่างเป็นทางการ ในตอนดึกของวันพฤหัสบดี (26 ตุลาคม 2560) นี้ ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

ในวันนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 เสด็จในการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร โดยเริ่มจากการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ ทรงร่วมในริ้วขบวนพระราชอิสริยยศ ซึ่งเคลื่อนจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทเข้าสู่พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

โดยสองข้างทางมีประชาชนนั่งรอส่งเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเต็มพื้นที่ หลายคนสะอื้นไห้ น้ำตานองหน้าระหว่างก้มลงหมอบกราบลงกับพื้นปูนที่มีพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 วางไว้บนผืนผ้าที่ปูทับบนพื้นถนนเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูง

เจ้าหน้าที่ตำรวจ ข้าราชการ จิตอาสา นั่งพับเพียบหมอบกราบตลอดเส้นทาง ขณะที่ริ้วขบวนผ่านหน้า ทหารในชุดสีประจำสังกัด ในเครื่องประดับเต็มยศ ยืนตรงก้มหน้าแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของพระเจ้าแผ่นดินอันเป็นที่รัก

เจ้าหน้าที่ประมาณการว่ามีประชาชนมากกว่าสามแสนคน ที่เข้าร่วมในพระราชพิธี โดยในจำนวนนี้มีเพียง 1.5 แสนคน ที่สามารถเข้าไปถึงในมณฑลพิธีท้องสนามหลวง เพื่อนั่งชมริ้วขบวนสองข้างทางอย่างใกล้ชิด โดยอีกกว่าสองแสนคน ทำได้เพียงนั่งชมริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมโกศผ่านจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งไว้ภายนอกมณฑลพิธีเท่านั้น แต่มิได้ทำให้ประชาชนผู้จงรักภักดีท้อถอย หลายคนเดินทางมาจากต่างประเทศ หลายคนมาปักหลักค้างแรม ตากแดด ตากฝน เฝ้ารอเพื่อจะได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดินในดวงใจเป็นครั้งสุดท้าย

ในช่วงเย็น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 เสด็จทรงเป็นประธานในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีประมุขและตัวแทนรัฐบาลจากต่างประเทศขึ้นถวายดอกไม้จันทน์ เพื่อใช้ในพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพอย่างเป็นทางการในเวลา 22:30 น.

ประชาชนยังคงเฝ้ารอเวลาในการส่งเสด็จรัชกาลที่ 9 สู่สวรรคาลัย หลายคนยังไม่ได้ลุกจากที่นั่งไปไหนมาเป็นเวลากว่า 3 วันแล้ว แพทย์สนาม พยาบาลอาสา หน่วยกู้ชีพ เข้าช่วยเหลือคนชรา คนพิการ แม้แต่คนหนุ่มสาวจากอาการป่วยจากการนั่งตากฝน และ ทนร้อนแดดหลายคืนหลายวันติดต่อกัน แต่พวกเขายังไม่ขอออกจากพื้นที่ แต่ยืนยันในการเฝ้าส่งเสด็จในหลวงรัชกาลที่ 9 อยู่ที่เดิม

“รักในหลวง ร.9 มาก ท่านเสียสละความสุขสบายส่วนตัว และทำงานเพื่อคนไทยมาตลอด เพียงเพื่อให้คนไทยได้อยู่ดีกินดี เรามาส่งเสด็จแค่นี้ ถึงแม้จะลำบากยังไงก็ต้องมา เพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยครั้งสุดท้าย มาบอกท่านว่าเราจะเดินตามรอยเท้าท่านและเป็นคนดีตลอดไป” นางสุนีย์ โยคะกุล ชาวจังหวัดนนทบุรี อายุ 51 ปี กล่าวต่อเบนาร์นิวส์

ในขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งเข้ามาสมัครเป็นจิตอาสาในงานพระราชพิธี ตั้งแต่งานที่ต้องใช้ฝีมือ เช่น งานดอกไม้สด จนกระทั่งถึงการดูแลผู้มาร่วมงาน แจกจ่ายน้ำ อาหาร เก็บขยะ ทำความสะอาด อย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย เพราะทำงานถวายพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย

“มาเป็นจิตอาสาเพราะอย่างทดแทนคุณแผ่นดิน เราทำแล้วเรามีความสุข มีความภูมิใจ เราเห็นในหลวงท่านเก่ง ท่านทำทุกอย่าง สร้างเขื่อน ทำฝนเทียม พัฒนาดอย พอเห็นริ้วขบวนแล้ว ก็ตื้นตันน้ำตาจะไหล เราต้องมาทำตรงนี้ เป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่จะได้ทำเพื่อท่าน” นางอนงค์กล่าว

พสกนิกรที่เฝ้ารอตามทางร่ำไห้ ขณะริ้วขบวนพระราชพิธีพระบรมศพดำเนินผ่าน วันที่ 26 ตุลาคม 2560 (นนทรัฐ ไผ่เจริญ/เบนาร์นิวส์)

ทั้งนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้จัดให้มีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ณ พระเมรุมาศ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ซึ่งเคยใช้เป็นสถานที่จัดพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์แห่งราชวงศ์จักรี ในอดีตกาลตามโบราณราชประเพณี ซึ่งพระราชพิธีต่างๆเป็นไปตามพระราชวินิจฉัยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ที่ทรงให้จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 25-29 ตุลาคม 2560

ในการนี้ มีพระราชอาคันตุกะที่เป็นพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์จาก 15 ประเทศ เสด็จฯ มาร่วมในพระราชพิธีฯ รวมทั้ง นายเจมส์ แมททิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา และผู้แทนจากรัฐบาลต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 42 ประเทศ

โดยประชาชนที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง รัฐบาลจัดกิจกรรมแสดงความอาลัย และถวายดอกไม้จันทน์ ที่พระเมรุมาศจำลองในตัวจังหวัด และพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพมหานคร อีก 84 แห่ง และได้จัดซุ้มถวายดอกไม้จันทน์ ในตัวอำเภอต่างๆ ทั่วประเทศอีก 878 ซุ้ม

ประชาชนเข้าแถวเพื่อวางดอกไม้จันทน์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ณ พระเมรุมาศจำลอง ในจังหวัดนราธิวาส 26 ต.ค. 2560 (เอเอฟพี)

พระราชประวัติโดยย่อ

พระบาทสมเด็จปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาจูเซทส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พระองค์ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่สามในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์ ตะละภัฏ ในขณะนั้น (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธย เป็น สมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี)

ในวันที่ 13 ตุลาคม 2559 สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จสวรรคตด้วยพระอาการสงบ ในเวลา 15.52 นาฬิกา ด้วยพระชนมายุ 89 พรรษา หลังจากที่คณะแพทย์โรงพยาบาลศิริราชถวายการรักษามาตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2557

ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2559 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร องค์รัชทายาท ทรงตอบรับเสด็จขึ้นครองราชย์ตามคำทูลเชิญของนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ปฎิบัติหน้าที่ประธานรัฐสภาโดยทรงใช้พระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก

พระราชพิธีพระบรมศพ

พระราชพิธีพระบรมศพ จัดขึ้นตามโบราณราชประเพณีที่มีความเชื่อตามคติพราหมณ์ว่า พระมหากษัตริย์คือสมมุติเทพ เมื่อสวรรคตแล้วจึงเสด็จกลับสู่สรวงสวรรค์ ที่มีเขาพระสุเมร หรือเขาสิเนรุ เป็นศูนย์กลาง จึงมีการสร้างพระเมรุมาศ เพื่อการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ประหนึ่งการส่งเสด็จกลับคืนสู่สวรรค์

ตามหมายกำหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9  วันที่ 25 ตุลาคม เป็นการพระราชกุศลออกพระเมรุ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ในวันนี้ ที่ 26 ตุลาคม เป็นการอัญเชิญพระบรมศพขึ้นประดิษฐานบนพระเมรุมาศ ด้วยขบวนพระบรมราชอิสริยยศ ริ้วขบวนที่หนึ่งถึงสาม เพื่อการถวายพระเพลิงจริง ในเวลาหลังสี่ทุ่มครึ่ง

ริ้วขบวนแรก เป็นการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ โดยพระยานมาศสามลำคาน ออกจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ไปยังบริเวณหน้าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม จากนั้นจึงอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ขึ้นประดิษฐานในบุษบกพระมหาพิชัยราชรถ อันเป็นริ้วขบวนที่สองเพื่อดำเนินไปจนถึงพระเมรุมาศในสนามหลวง มีการอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ลงจากพระมหาพิชัยราชรถ ขึ้นประดิษฐานราชรถปืนใหญ่ เพื่อวนอุตราวัฏรอบพระเมรุมาศสามรอบ (วนทวนเข็มนาฬิกา) แล้วจึงอัญเชิญพระบรมโกศทองใหญ่ขึ้นสู่พระจิตกาธาน (เชิงตะกอน) บนพระเมรุมาศ เพื่อการถวายพระเพลิง

ในวันที่ 27 ตุลาคม เป็นการเก็บพระบรมอัฐิ ณ พระเมรุมาศ ในวันที่ 28 งานพระราชกุศลพระบรมอัฐิ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท วันที่ 29 ตุลาคม การอัญเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐาน ณ พระวิมาน บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ภายในพระบรมหาราชวัง และ การบรรจุพระบรมราชสรีรางคาร ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และวัดบวรนิเวศน์วรวิหาร

ทั้งนี้ รัฐบาลกำหนดให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน ไว้ทุกข์ตั้งแต่วันที่ 13 ถึง 29 ตุลาคม 2560 โดยให้ออกทุกข์ ปลดป้ายแสดงความอาลัย ในวันที่ 30 ตุลาคม 2560

โดยหลังจากเสร็จสิ้นพระราชพิธีฯ รัฐบาลจะจัดนิทรรศการพระราชพิธีถวายพระเพลิงฯ ให้ประชาชนได้เข้าชมและศึกษาถึงพระราชพิธีอันสำคัญนี้ ในระหว่างวันที่ 2 ถึง 30 พฤศจิกายน ศกนี้ โดยรัฐบาลคาดว่าจะมีผู้เข้าชมกว่าสามล้านคน

หญิงไทยไหว้สักการะ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันถวายพระเพลิงพระบรมศพ วันที่ 26 ตุลาคม 2560 ที่วัดเชตวัน วัดไทย ในเมืองเปตาลิง จายา นอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ (ฮาดี อัซมี/เบนาร์นิวส์)

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง