ไทย: แถลงการณ์รายงาน “ในหลวง” กำลังทรงพักฟื้นจากการประชวร
2016.08.03
วอชิงตัน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย ทรงกำลังรับการรักษาอาการพระปรอท (ไข้) หลังอาจมีการติดเชื้อในพระโลหิต ขณะที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระอาการพระปัปผาสะ (ปอด) อักเสบ ตามแถลงการณ์เมื่อเร็ว ๆ นี้เกี่ยวกับพระอาการของทั้งสองพระองค์ ผู้มีพระชนมพรรษากว่า 80 และทรงประชวรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งสองพระองค์ทรงกำลังพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล แถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับอื่นรายงาน
สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์รายเดือนเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้มีพระชนมพรรษา 88 พรรษาพระองค์นี้ เมื่อวันจันทร์ว่า คณะแพทย์ฯ ยังคงถวายพระโอสถปฏิชีวนะต่อไป เพื่อลดการติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดอาการพระปรอท(ไข้)ต่ำ
“ในเดือนกรกฎาคม 2559 ทรงมีพระอาการปรอท(ไข้)ต่ำ” แถลงการณ์สำนักพระราชวังระบุ ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ “ผลการตรวจพระโลหิตบ่งว่า อาจมีการติดเชื้อ คณะแพทย์ฯ จึงได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะ”
“ภายหลังการถวายพระโอสถปฏิชีวนะ พระอาการดีขึ้น”
ในแถลงการณ์เดือนมิถุนายน สำนักพระราชวังรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับการรักษาพระอาการ “ภาวะน้ำไขสันหลังในโพรงพระสมอง" มากกว่าปกติ
“คณะแพทย์ฯ ได้ติดตามพระอาการภาวะน้ำไขสันหลังในโพรงพระสมองอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด และมีการถวายปรับสายเพื่อเพิ่มการระบายน้ำไขสันหลังเป็นครั้งคราว ทำให้การระบายน้ำไขสันหลังตลอดเดือนกรกฎาคมเป็นที่น่าพอใจ” สำนักข่าวรอยเตอร์อ้างคำกล่าวในแถลงการณ์ล่าสุด
ขณะเดียวกัน สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระชนมพรรษา 83 พรรษา ทรงมีพระอาการพระปัปผาสะ(ปอด)อักเสบ แต่พระอาการของพระองค์ดีขึ้นแล้ว สำนักข่าวเอพีรายงานเมื่อวันเสาร์
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม คณะแพทย์ฯ ได้กราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เสด็จจากโรงพยาบาลศิริราช ที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่เป็นส่วนใหญ่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เพื่อถวายการรักษาพระอาการพระปัปผาสะ(ปอด)อักเสบเล็กน้อย และการติดเชื้อในพระโลหิต สำนักข่าวเอพีอ้างรายงานในแถลงการณ์สำนักพระราชวัง
แถลงการณ์ระบุว่า หลังถวายการรักษา พระอาการปรอท(ไข้) และพระกรรสะ(ไอ)น้อยลง
โรงพยาบาลศิริราชได้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องจากทั้งสองพระองค์ยังทรงประชวรด้วยภาวะหลอดเลือดสมองตีบด้วย โดยพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ มีความรุนแรงกว่า ตามรายงานของสำนักข่าวเอพี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 2489 พระองค์เสด็จออกให้พสกนิกรเห็นเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ม.ค. เพื่อทอดพระเนตรสภาพภูมิทัศน์ บริเวณโดยรอบสวนจิตรลดา ในกรุงเทพฯ
ควบคุมอย่างเข้มงวด
ความกังวลเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการสืบทอดพระราชบัลลังก์ เป็นเบื้องหลังของการแตกแยกทางการเมืองอย่างรุนแรงในประเทศไทยในช่วงกว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึงการที่ทหารเข้ายึดอำนาจการปกครอง และการชุมนุมประท้วงที่มีการใช้ความรุนแรง สำนักข่าวรอยเตอร์กล่าว
ข่าวเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ถูกควบคุมอย่างเข้มงวดในประเทศไทย ซึ่งกฎหมายหมิ่นสถาบันฯ ทำให้การหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถือเป็นอาชญากรรม
เมื่อวันจันทร์ มารดาของแกนนำนักศึกษาคนหนึ่งที่เคลื่อนไหวด้านการเมือง ถูกศาลทหารของไทยสั่งฟ้องในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะคำหนึ่งคำในข้อความบนเฟซบุ๊ก
ในตอนแรก นางพัฒน์นรี ชาญกิจ วัย 40 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจของไทยจับกุมเมื่อเดือนพฤษภาคม ฐานละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งห้ามการหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และมีระวางโทษจำคุกสูงสุด 15 ปีสำหรับแต่ละข้อหา สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน
ทนายความของเธอกล่าวว่า ข้อหาดังกล่าวเกิดจากคำว่า “จ้า” ที่เธอเขียนตอบข้อความส่วนตัวในเฟซบุ๊ก ซึ่งเธอได้รับจากคนที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันกษัตริย์
คดีนี้ถูกบรรดานักเคลื่อนไหวใช้เป็นตัวอย่างที่น่ากลัวของการที่รัฐบาลทหารขยายการตีความอาชญากรรมนี้ ให้ครอบคลุมถึงการอ้างอิงอย่างกำกวมถึงสถาบันกษัตริย์ สำนักข่าวเอเอฟพีรายงาน
ที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยกเลิกข้อหาดังกล่าว หลังจากเกิดการเรียกร้อง แต่ได้ส่งคดีต่อไปให้แก่อัยการทหาร เพื่อดำเนินการต่อ
“วันนี้ ศาลทหารได้รับคดีนี้ ซึ่งยื่นโดยอัยการทหาร” นายอานนท์ นำภา ทนายความ บอกแก่สำนักข่าวเอเอฟพี โดยเสริมว่า ลูกความของเขาได้รับอนุญาตให้ประกันตัวก่อนหน้าการพิจารณาคำให้การที่จะมีขึ้นในไม่ช้านี้
การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและศาลทหารของไทยได้เพิ่มจำนวนขึ้นมาก นับแต่ที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตผู้บัญชาการทหารบก ยึดอำนาจการปกครองเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งทำให้ไทยถูกประณามจากนานาประเทศ รวมทั้งสหประชาชาติ
นับแต่นั้นมา ได้มีการพิพากษาจำคุกเป็นระยะเวลาถึง 25 ปี และ 30 ปี แก่ผู้คน เพราะโพสต์ในเฟซบุ๊ก ขณะที่ชายคนหนึ่งถึงกับถูกจับกุม เพราะเสียดสีสุนัขทรงเลี้ยง
การพิพากษาลงโทษหลายคดีเกิดขึ้นอย่างลับ ๆ ขณะที่สื่อต้องเซ็นเซอร์ตัวเองอย่างหนัก เมื่อรายงานข่าวคดีต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดกฎหมายนี้