ทางการไทยไม่ส่งตัววัยรุ่นสาวชาวซาอุฯ กลับประเทศ

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2019.01.07
กรุงเทพ
190107-TH-teen-620.jpg ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน (เสื้อดำ) พร้อมด้วยพล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล (คนที่สองจากขวามือ) และเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเอชซีอาร์ เดินทางออกจากที่พักในสนามบินสุวรรณภูมิ วันจันทร์ที่ 7 มกราคม 2562
ภาพโดย สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

ในตอนค่ำของวันจันทร์นี้ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้แถลงข่าวถึงการไม่ส่งตัว ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน หญิงสาวชาวซาอุดิอาระเบีย วัยสิบแปดปี กลับประเทศบ้านเกิด เพื่อให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ พิจารณาสถานะผู้ลี้ภัยภายในห้าวัน ก่อนเดินทางต่อไปยังประเทศที่สามต่อไป เพราะทราบว่า ราฮัฟ อาจมีอันตรายถึงชีวิต หากถูกส่งกลับประเทศ

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แถลงต่อผู้สื่อข่าวในช่วงค่ำวันจันทร์ที่ 7 มกราคม นี้ว่า หลังการพูดคุยกับหญิงสาวชาวซาอุดิอาระเบียรายดังกล่าว ร่วมกับผู้แทนจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ กระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ทางการไทยยอมรับให้ราฮัฟเข้าเมือง แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ จนกว่าจะได้สถานะผู้ลี้ภัยและเดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกิน 5 วัน

“เจ้าตัวอยากเข้ามาพักในไทยประเทศไทยซักระยะหนึ่งก่อน เพื่อขอสถานะผู้ลี้ภัยจากยูเอ็นเอชซีอาร์ แล้วถึงจะเดินทางไปประเทศที่สามต่อไป” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ แถลงต่อผู้สื่อข่าว

“วันนี้น้องเขาอยู่ในความดูแลของยูเอ็นเอชซีอาร์แล้ว โดยกงสุลใหญ่บอกกับผมว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 5 วัน นับจากนี้ ในการจัดการเรื่องสถานะให้เรียบร้อย และไม่เกิน 5 วัน ให้เดินทางไปประเทศที่สามต่อไป ส่วนจะเป็นประเทศไหนอยู่ที่การพูดคุย การตกลงใจของน้อง” ผู้บัญชาการ สตม. กล่าวเพิ่มเติม

ผู้บัญชาการ สตม. กล่าวว่า ราฮัฟ โมแฮมหมัด อัล-คูนัน เดินทางมาถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 6 มกราคม นี้ ด้วยสายการบินคูเวตแอร์เวย์ เที่ยวบินที่ KU413 แต่ถูกปฏิเสธการเข้าเมืองจากตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยเจ้าหน้าที่ระบุเหตุผลที่ห้ามราฮัฟเข้ามาในราชอาณาจักรว่า เอกสารการเดินทางไม่ครบ เพราะเป็นการเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยตั๋วเดินทางเที่ยวเดียว ไม่มีตั๋วเครื่องบินเที่ยวกลับ ไม่มีเส้นทางการท่องเที่ยว ไม่มีการจองโรงแรมที่พัก ไม่สามารถระบุจุดหมายปลายทาง และไม่มีเงินติดตัว

ประกอบกับก่อนหน้านี้ ทางสถานทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย ได้แจ้งกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไว้ก่อนแล้วว่า ราฮัฟ เป็นหญิงสาวที่หนีจากการดูแลของผู้ปกครอง จึงขอให้ทางการไทยดูแลเนื่องจากเกรงว่าจะได้รับอันตราย ทำให้ ราฮัฟ ไม่สามารถผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเข้ามาสู่ประเทศไทยได้ สายการบินคูเวตจึงได้นำ ราฮัฟ ไปพักที่โรงแรมมิราเคิล ทรานซิท ในโซนทรานซิท ภายในสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อรอการส่งกลับไปยังประเทศต้นทาง

อย่างไรก็ตาม ในก่อนหน้านี้ ราฮัฟ ได้กล่าวแก่เบนาร์นิวส์โดยทางวอทส์แอปป์ว่า เธอถูกเจ้าหน้าที่จากสถานทูตซาอุดิอาระเบียควบคุมตัวในสนามบิน และยึดพาสปอร์ตไป ในระหว่างรอเครื่องบินเพื่อไปต่อยังประเทศออสเตรเลีย โดยเธอมีตั๋วเครื่องบินไปออสเตรเลียและมีวีซ่าเรียบร้อย จากนั้น ได้ควบคุมตัวเธอไว้ที่โรงแรมมีราเคิล ทรานซิท เพื่อการส่งตัวกลับในตอนใกล้เที่ยงของวันจันทร์นี้ แต่เธอไม่ยอมเปิดประตูห้อง เจ้าหน้าที่จึงไม่สามารถบังคับเธอได้

ราฮัฟ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า ครอบครัวของเธอจะฆ่าเธอ หากถูกส่งตัวกลับไป เพราะเธอหนีออกมาด้วยเหตุที่ครอบครัวปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้าย ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ราฮัฟ ได้ออกศาสนา ซึ่งมีความผิด

“วันนี้ เรายึดหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน ถ้าส่งเขากลับแล้วเขามีอันตรายถึงแก่ชีวิต ผมก็มั่นใจว่าคงไม่มีประเทศไหนในโลกที่ทำ” พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล แถลงต่อสื่อมวลชน

ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ทางการไทยได้ส่งตัวราฮัฟ ให้กับเจ้าหน้าที่จากสำนักงานข้าหลวงใหญ่แห่งสหประชาชาติ เมื่อเวลา 19.45 น. และไม่ได้เป็นผู้ควบคุมตัวราฮัฟ อีกต่อไป ไม่มีการยึดพาสปอร์ตหรือกักตัวไว้อีกต่อไป แต่ขณะนี้ ราฮัฟ เป็นบุคคลที่อยู่ภายใต้การดูแลของ ยูเอ็นเอชซีอาร์ โดยกงสุลใหญ่ของยูเอ็นเอชซีอาร์ ระบุว่า จะสามารถดำเนินการรับรองสถานะผู้ลี้ภัยให้กับ ราฮัฟ ได้แล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกิน 5 วัน และไม่เกิน 5 วัน ในการให้เดินทางต่อไปยังประเทศที่สามต่อไป ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นประเทศใด ทั้งนี้ ราฮัฟ กล่าวทางทวิตเตอร์ว่า ต้องการไปลี้ภัยในประเทศออสเตรเลีย

ทั้งนี้ พล.ต.ท. สุรเชษฐ์ กล่าวด้วยว่าในวันพรุ่งนี้ ในฐานะผู้บังคับการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตนเองจะไปเข้าพบและพูดคุยกับอุปทูต ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย เพื่ออธิบายสาเหตุ ขั้นตอนการทำงาน ว่าทำไมทางการไทยจึงไม่ส่งตัวราฮัฟ กลับไปยังประเทศต้นทาง

หลังจากที่ราฮัฟ ได้เดินทางออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ มุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ได้ส่งข้อความถึงผู้สื่อข่าวเบนาร์นิวส์ ผ่านวอทส์แอปป์ ว่า “ฉันปลอดภัยแล้ว ขอบคุณ”

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง