สภาผ่าน ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 3.1 ล้านล้านบาท ปี 65
2021.06.02
กรุงเทพฯ และเชียงใหม่

ในวันพุธนี้ สภาผู้แทนราษฎร มีมติ 269 ต่อ 201 งดออกเสียง 2 รับ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3,100,000 ล้านบาท แม้ ส.ส. ฝ่ายค้านติงว่า จัดสรรงบไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะงบกระทรวงกลาโหม มากกว่ากระทรวงสาธารณสุข ด้านนักวิชาการชี้ รัฐบาลสนใจเรื่องมั่นคงมากกว่าการแก้ปัญหาของประชาชน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปราย ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2565 เริ่มขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2564 ใช้เวลา 47 ชั่วโมง 30 นาที ก่อนจะมีการลงมติในวันที่ 2 มิถุนายน 2564 โดยมีมติรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 65 ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 269 เสียง ไม่เห็นด้วย 201 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง พร้อมตั้ง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา 72 คน
“ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่จัดทำขึ้นมีเป้าหมาย ให้ประเทศได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคมทรัพยากรมนุษย์ ความมั่นคง และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี เศรษฐกิจได้รับการฟื้นฟูจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงจุดมุ่งหมายการใช้งบประมาณต่อที่ประชุม
พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2565 วงเงิน 3,100,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2564 เป็นเงิน 185,962.5 ล้านบาท หรือ 5.66 เปอร์เซ็นต์ โดยรัฐบาลประมาณการรายได้ที่ 2,400,000 ล้านบาท และใช้การกู้ 700,000 ล้านบาท กระทรวงที่ได้รับการจัดสรรมากที่สุด คือ 1. กระทรวงศึกษาธิการ 332,398.6 ล้านบาท 2. กระทรวงมหาดไทย 316,527 ล้านบาท 3. กระทรวงการคลัง 273,941.3 ล้านบาท 4. กระทรวงกลาโหม วงเงิน 203,282 ล้านบาท 5. กระทรวงคมนาคม 175,858.7 ล้านบาท 6. กระทรวงสาธารณสุข 153,940.5 ล้านบาท และอื่น ๆ ตามลำดับ
โดยการจัดสรรงบประมาณให้แก่กระทรวงกลาโหมมากกว่ากระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ประเทศกำลังเผชิญการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นประเด็นที่ ส.ส. ฝ่ายค้าน วิพากษ์วิจารณ์
“ไม่รับหลักการของร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ เพราะ… เราไม่ไว้วางใจให้คนจัดทำงบประมาณ หมายถึงผู้บริหารฝ่ายนโยบาย ทำหน้าที่ในการบริหารต่อไป ผลสัมฤทธิ์ที่เราคาดหวังก็คือ ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกไป… ขณะนี้ประเทศกำลังทำสงครามโรค แต่กลับให้ทำงบประมาณเหมือนกับเวลาปกติ ไม่สนใจใยดีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น” นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวในที่ประชุม
ทั้งนี้ ตามมารยาทของสภาผู้แทนราษฎร หาก พ.ร.บ.งบประมาณฯ ไม่ผ่านความเห็นชอบ นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภา เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือ นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
“รัฐบาลชุดนี้ยังขาดสามัญสำนึก ไม่รู้ว่าอะไรเร่งด่วน อะไรควรชะลอ อะไรควรจ่าย อะไรไม่ควรจ่าย… เห็น ๆ กันอยู่ว่าประชาชนขาดวัคซีน ขาดเตียง ขาดยา ขาดเครื่องช่วยหายใจ ไม่ได้ขาดกระสุนปืนใหญ่ ไม่ได้ขาดรถถัง ไม่ได้ขาดรถยานเกราะ” นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อ ก้าวไกล กล่าวในการอภิปราย
นายวิโรจน์ ระบุว่า โครงการจัดหา เสริมสร้างยุทโธปกรณ์ ของกองทัพบก ได้รับงบประมาณ 4,937 ล้านบาท มากกว่าปี 2564 เป็นเงิน 1,895 ล้านบาท ขณะที่กองทัพเรือ ได้รับ 1,406 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เป็นเงิน 873 ล้านบาท
ขณะที่ กรมควบคุมโรค ได้รับงบ 3,565 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า ปี 2562 ที่ยังไม่มีการระบาดของโควิด-19 เป็นเงิน 470 ล้านบาท และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับ 1,245 ล้านบาท น้อยลงกว่าปี 2562 เป็นเงิน 164 ล้านบาท
ส่วนนายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ ส.ส. นราธิวาส พรรคประชาชาติ เห็นว่า การจัดสรรงบแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ ไม่ตอบความต้องการของประชาชน และแสดงถึงทัศนคติที่เห็นรัฐบาลมองคนไทยเชื้อสายมุสลิม-มลายูเป็นภัยความมั่นคง
“สิ่งที่แย่ที่สุด ปี 2565 มีงบประมาณของ กอ.รมน. ผูกพันธ์ 3 ปี เกี่ยวกับการสร้างกำแพงบริเวณลุ่มน้ำโกลก ตั้งแต่ที่ตากใบ โดยในปีนี้ สร้างกำแพงปิดกั้นระหว่างคนสามจังหวัด พี่น้องชาติพันธุ์มลายูกับพี่น้องมาเลเซีย… ในยุทธศาสตร์ความมั่นคง 7,000 กว่าล้าน กอ.รมน. กองทัพมีงบประมาณเฉพาะงานข่าว 1,000 กว่าล้าน ส่วนงานด้านอาวุธยุทโธปกรณ์แทบไม่น่าเชื่อว่า พี่น้องกำลังเดือดร้อนเรื่องปากท้อง แต่ท่านกำลังไปจัดหาซื้ออาวุธ” นายกมลศักดิ์ ระบุ
นายกมลศักดิ์ ระบุว่า รัฐบาลวางงบประมาณสำหรับซื้ออาวุธ ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวนมาก แบ่งเป็น กอ.รมน. 339 ล้านบาท, กองทัพบก 362 ล้านบาท, กองทัพเรือ 134 ล้านบาท, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) 118 ล้านบาท และกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย 275 ล้านบาท (ซื้อรถหุ้มเกราะ และครุภัณฑ์อาวุธ) ส่วนแผนสร้างกำแพงลุ่มแม่น้ำโกลกวงเงิน 3 ปี 600 ล้านบาท
“แทนที่จะเอางบประมาณไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาความต้องการของพี่น้องประชาชน แต่ท่านไม่ดำเนินการ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ท่านนายกรัฐมนตรี กำลังขังวิถีชีวิตของพี่น้องมุสลิมมลายู” นายกมลศักดิ์ กล่าว
นายกฯ ยืนยันงบวัคซีนโควิด-19 ไม่จำกัด
ต่อประเด็นที่ถูกอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันในที่ประชุมสภาว่า รัฐบาลจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสม โดยคำนึงถึงประชาชนเป็นสำคัญ
“ไม่มีปัญหาสำหรับเงินงบประมาณสำหรับซื้อวัคซีน… ผมคิดว่า เราก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ในสถานการณ์ที่ฉุกเฉินในขณะนี้ งบประมาณวัคซีนเนี่ย ผมมีไม่จำกัด เพราะฉะนั้นวันนี้ ผมก็กราบเรียนว่า โน่นนี่ใช้ไม่ถูกต้อง ผมถามว่าหนี้สาธารณะมันเพิ่มขึ้น ผมใช้หนี้จำนำข้าวไป 705,00 ล้าน เหลือภาระหนี้อีก 280,000 ล้าน ต้องทยอยใช้อีก 12 ปีหมดภาระ” พล.อ.ประยุทธ์ ระบุ
“ในสองปีที่ผ่านมา เราได้ปรับลดงบประมาณของกระทรวงกลาโหมไปแล้ว จำนวนเป็นหมื่นล้านบาทในแต่ละปี… การที่ว่างบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข อันนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริง นอกงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุข ยังมีกองทุนภายใต้กระทรวงอีก 3 กองทุน อีกประมาณ 141,741 ล้านบาท เมื่อรวมกันแล้วงบประมาณด้านสาธารณสุขทั้งสิ้นจะมี 295,681 ล้านบาท” นายกรัฐมนตรี กล่าวในที่ประชุมสภา
ด้าน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า วงเงินงบประมาณปี 2565 จะเพียงพอสำหรับกระทรวงสาธารณสุข
“กระทรวงสาธารณสุขมั่นใจว่า จำนวนที่ได้รับอนุมัติมานี่มีความเพียงพอในการที่จะบริหารสถานการณ์ในช่วงนี้ได้ ความพร้อมของระบบสาธารณสุขของไทย รัฐบาลนี้เท่านั้นแหละครับที่กล้าให้คำยืนยันว่า พี่น้องประชาชนคนไทย หรือแม้กระทั่งคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้ หากเขาติดเชื้อโควิด พวกเขาถึงมือแพทย์ เข้าถึงยาทุกคน” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน ระบุว่า งบประมาณสำหรับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ส่วนนึงจะถูกบรรจุอยู่ในงบประมาณรายจ่ายงบกลาง 571,047.3 ล้านบาท ของ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2565
นักวิชาการชี้ พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 65 ผ่าน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีเสถียรภาพ
ผศ.ดร. ธัญณ์ณภัทร์ เจริญพานิช อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎพิบูลสงคราม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า รัฐบาลยังมองเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ไม่จริงใจในการแก้ปัญหาชีวิตประชาชน
“รัฐบาลยังมองเรื่องความมั่นคงเป็นหลัก หากงบประมาณส่วนใหญ่ถูกเทไปยังการจัดการเรื่องวัคซีน รัฐบาลก็จะได้รับคำชื่นชมด้วยซ้ำ แต่ร่างนี้เรามองไม่เห็นความจริงใจว่า รัฐบาลจะดูแลคุณภาพชีวิตประชาชน” ดร. ธัญณ์ณภัทร์ กล่าว
นายพิทธิกรณ์ ปัญญามณี นักวิจัยปริญญาเอก คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า สถานการณ์เฉพาะหน้าของโควิด19 ที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ แต่เพราะไม่เกี่ยวข้องกับโครงการขนาดใหญ่ของรัฐที่วางไว้แล้ว จึงไม่น่าแปลกที่งบกระทรวงสาธารณสุขจะถูกตัดออก
“ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณผ่าน แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลกับพรรคร่วมนั้นยังต่อรองกันได้ แม้จะมีความขัดแย้ง แต่ก็จะนำเรากลับไปยังสภาพการเมืองแบบเก่า ๆ คือแบ่งเค้กกันในพรรคร่วม และแบ่งเนื้อข้างเขียงให้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสถียรภาพของรัฐบาลส่วนหนึ่ง มาจากการสนับสนุนของสถาบันกษัตริย์” นายพิทธิกรณ์ กล่าว
“จนถึงตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นการยุบสภา และคาดว่ารัฐบาลจะอยู่จนครบวาระ 4 ปี เพราะเราแทบไม่เห็นสัญญาณความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลที่ชัดเจนเลย” นายพิทธิกรณ์ กล่าวเพิ่มเติม
ทั้งนี้ พ.ร.บ. งบประมาณในปี 2563 ที่ผ่านการอนุมัติมีวงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท ปี 2564 วงเงิน 3.3 ล้านบาท ขณะที่ปี 2565 กำลังอยู่ในการพิจารณา วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท ลดลงจากปี 2564 เป็นเงิน 185,962.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.66 เปอรเซ็นต์
โดยงบประมาณกระทรวงกลาโหม ปี 2565 เสนอขอ 203,282 ล้านบาท จากเดิมเมื่อปี 2564 ได้รับ 214,530.6 ล้านบาท ลดลง 11,248.6 ล้านบาท หรือ 5.2 เปอร์เซ็นต์ กระทรวงสาธารณสุข ปี 2565 เสนอของบประมาณ 153,940.5 ล้านบาท จากเดิมปี 2564 ได้รับ 158,278.6 ล้านบาท ลดลง 4,338 ล้านบาท หรือ 2.74 เปอร์เซ็นต์
สำหรับขั้นตอนต่อไปของ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2565 เมื่อผ่านการพิจารณาวาระที่ 1 ในวันนี้ จะถูกพิจารณาในวาระที่ 2-3 โดยคณะกรรมาธิการ และเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา จากนั้นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะนำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2565 ขึ้นทูลเกล้าฯ และถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้ต่อไป
กองทัพเรือรับมอบ ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก จากจีน
ทั้งนี้ พล.ร.อ.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กองทัพเรือเพิ่งรับมอบ ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ ZTD 05A หรือ VN-16 จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโครงการซื้อยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก ระยะที่ 1 จำนวน 3 คัน วงเงิน 398,143,400 บาท ในปีงบประมาณ 2563 ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์-วิจารณ์ ถึงการที่กองทัพจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ในขณะที่ประเทศกำลังประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19
“ประเด็นที่ถูกวิจารณ์ กองทัพเรือกำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อชี้แจงรายละเอียด และความจำเป็นของการจัดซื้อต่อไป” พล.ร.อ.เชษฐา กล่าว