เหตุโจมตีตากใบ ทำลายรอมฎอนสันติสุข

มาตาฮารี อิสมาแอ มารียัม อัฮหมัด นิชา เดวิด และมุซลิซา มุสตาฟา
2022.05.26
จังหวัดชายแดนใต้ และกัวลาลัมเปอร์
เหตุโจมตีตากใบ ทำลายรอมฎอนสันติสุข เจ้าหน้าที่ทหารตรวจทรากรถที่โดนไฟไหม้หลังจากถูกคนร้ายโจมตีที่สถานีตำรวจน้ำตากใบ ริมฝั่งแม่น้ำโกลกเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา วันที่ 26 พฤษภาคม 2565
เบนาร์นิวส์

เจ้าหน้าที่ทหารและอาสาสมัครได้รับบาดเจ็บรวม 3 นาย ในเหตุการณ์ผู้ก่อความไม่สงบโจมตีสถานีตำรวจน้ำ ริมฝั่งแม่น้ำโกลกด้วยระเบิดไปป์บอมบ์และอาวุธสงคราม เมื่อตอนดึกของคืนวันพุธนี้ นับเป็นเหตุรุนแรงที่มีการวางแผนครั้งใหญ่ หลังจากที่ไทยและบีอาร์เอ็นดำเนินความริเริ่มให้เกิดสันติสุขในเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา

พ.ต.อ. นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.ตากใบ ได้กล่าวในระหว่างการตรวจสถานที่เกิดเหตุว่า คนร้ายกว่าสิบคนได้แบ่งกำลังเป็นสองส่วนบุกเข้าไปในสถานีตำรวจน้ำตากใบ พร้อมกับขว้างระเบิดไปป์บอมบ์และกราดยิงด้วยอาวุธปืน เอ็ม.-16 ทำให้มีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บรวมสามนาย ขณะที่กำลังอีกส่วนปิดทางเข้าออกและยิงสกัดเจ้าหน้าที่ไม่ให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้

“เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 3 นาย ในขณะที่มีการปะทะกัน” พ.ต.อ. นราวี กล่าวในขณะตรวจสถานีตำรวจน้ำตากใบ

ผู้ได้รับบาดเจ็บ ประกอบด้วย 1. พลทหาร สุไลมาน ยูโซะ สังกัดหน่วยควบคุมชายแดนที่ 4 โดนสะเก็ดระเบิดขาขวา, 2. อส.อ.โอภาส แสนซม กองอาสารักษาดินแดน อ.ตากใบ โดยสะเก็ดระเบิดเนื้อฉีกขาดที่ขาขวา และ 3. อส.อ.เอกวัฒน์ เกตุด้วง โดนสะเก็ดระเบิดที่ชายโครง ซึ่งทั้งสามนาย ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว

ในวันนี้ ยังไม่มีขบวนการใด ๆ ออกมาแสดงความรับผิดชอบ ขณะที่องค์การปลดปล่อยสหปาตานี (PULO-MKP) ได้กล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า ทางกลุ่มไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

“จากกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ก็สร้างความตื่นตระหนกให้กับสังคมพอสมควร” พล.ต. ปราโมทย์ พรหมอินทร์ รอง ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งได้ลงตรวจพื้นที่กล่าวกับผู้สื่อข่าว

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นคำถามของสังคมว่าเกิดจากอะไร คงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบในเรื่องของการวิเคราะห์ปัจจัยที่เป็นสาเหตุ ซึ่งเรามองไว้ 2 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง เป็นปัจจัยที่เกิดจากกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุข อาจเกิดจากกลุ่มที่ตกกระบวนการพูดคุย ประเด็นที่สอง เจ้าหน้าที่ให้น้ำหนักในเรื่องของการตอบโต้ผลจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการเข้าไปจัดการกับภัยแทรกซ้อนในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา เรามีการเปิดแผนในการเข้ากวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายหลายพื้นที่” พล.ต. ปราโมทย์ ระบุ

การโจมตีเป็นเครือข่าย

พ.ต.อ. นราวี บินแวอารง ผกก.สภ.ตากใบ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนร้ายได้ก่อเหตุรวมสี่แห่งด้วยกัน นอกจากการโจมตีสถานีตำรวจน้ำตากใบแล้ว คนร้ายยังได้ใช้ระเบิดไปป์บอมบ์และอาวุธสงครามยิงอาคารสำนักงานด่านศุลกากรตากใบห่างออกไปราวสองร้อยเมตร และวางระเบิดเสาไฟฟ้า ริมถนนสายฮูมอลานัส-ตะปอเยาะ และหน้าร้านสะดวกซื้อ 7-11 ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลเจ๊ะเห อีกด้วย

“จากการสอบสวนทราบว่า ในช่วงที่ชาวบ้านกำลังนั่งดื่มน้ำชาที่บริเวณข้างรั้วกำแพงของสถานีตำรวจน้ำ ได้มีคนร้ายจำนวนกว่า 10 คน โดยแยกกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดที่หนึ่งแฝงตัวเข้ามาบริเวณข้างกำแพงรั้นด้านขวามือ โดยใช้ระเบิดไปป์บอมบ์และอาวุธปืน เอ็ม.-16 ขว้างและยิงถล่มใส่สถานีตำรวจน้ำจนเกิดการปะทะกัน” พ.ต.อ. นราวี กล่าวและระบุว่า คนร้ายอีกชุดใช้อาวุธปืนยิงใส่สถานีตำรวจน้ำ เพื่อเป็นการสกัดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ช่วยเหลือกันได้ 

“เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลและไล่กล้องวงจรปิดเพื่อรวบรวมข้อมูล ก่อนจะออกหมายจับต่อไป” พ.ต.อ. นราวี กล่าว

อำเภอตากใบ เป็นสถานที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรมในปี พ.ศ. 2547 โดยมีผู้ประท้วงเสียชีวิต 85 ราย ด้วยการขาดอากาศหายใจ หลังถูกจับกุมจากหน้าที่ว่าการอำเภอ และนำตัวขึ้นรถยนต์ออกจากพื้นที่ประท้วง ซึ่งทำให้ฝ่ายขบวนการโกรธแค้น

ในการเจรจา เมื่อปลายเดือนมีนาคม-ตนเดือนเมษายนนี้ ขบวนการบีอาร์เอ็นและคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝ่ายไทย ได้ตกลงดำเนินความริเริ่มรอมฎอนสันติสุข โดยสองฝ่ายหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้มีการปะทะกันขึ้นเป็นเวลา 40 วัน จนถึงวันที่ 14 พฤษภาคมนี้

การดำเนินการตามข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปด้วยดี ยกเว้นว่า ทางขบวนการพูโลได้ก่อเหตุวางระเบิดต่อเนื่อง ทำให้ชาวบ้านเสียชีวิต 1 ราย และเจ้าหน้าที่บาดเจ็บ  3 นาย

“เหตุการณ์เมื่อคืนไม่มีความสัมพันธ์กับการคุยสันติสุข ตามรายงานข่าวเบื้องต้น และพูโลไม่มีส่วนร่วมกับเหตุการณ์เมื่อคืน” นายกัสตูรี มะห์โกตา ประธานองค์การปลดปล่อยสหปาตานี (PULO-MKP) กล่าวกับเบนาร์นิวส์ในวันนี้

ด้านนายอับดุล ราฮิม นูร์ ผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยเพื่อสันติสุข มาเลเซีย กล่าวว่า “เราไม่ทราบว่าใครก่อเหตุ แต่มันไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการพูดคุยในคราวหน้า นั่นคือความเห็นของผม”

เบนาร์นิวส์ติดต่อทางบีอาร์เอ็น แต่ไม่ได้รับคำตอบ

แสดงศักยภาพ

พล.ต.ท. นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญกลุ่มคนร้ายปล่อยคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีนัยยะอยู่ เพื่อต้องการโปรโมทเพื่อสื่อให้เห็นว่าในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นอยู่ ต้องการสร้างความเป็นตัวตนและแสดงศักยภาพของกลุ่ม

“ในความเป็นจริงในขณะนี้ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ในห้วงเดือนที่ผ่านมากว่า 50-60 วัน ชาวบ้านอยู่ในความสงบมาโดยตลอด แต่ก็ยังมีกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากให้ในพื้นที่แห่งนี้มีความสงบสุข เพื่อเหตุผลเพื่อประโยชน์ส่วนตน มีไม่กี่คนที่จุดประกายขึ้นมา” พล.ต.ท. นันทเดช กล่าว

พล.ต.ท. นันทเดช ระบุอีกว่า ยังไม่ทิ้งประเด็นเหตุจูงใจใด ๆ ไม่ว่าการตอบโต้เจ้าหน้าที่ที่การกวาดล้างจับยาเสพติดรายใหญ่ โดยได้จับคนร้ายฟอกเงินในคดียาเสพติดได้ 10 กว่าคน และมีการจับกลุ่มแรงงานต่างด้าวที่ส่งไปยังประเทศมาเลเซีย

ด้าน ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ให้ทัศนะว่า ทางขบวนการก่อความไม่สงบต้องการแสดงการมีตัวตน

“สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา ก็ถือยังเป็นปรากฎการณ์ที่ฝ่ายขบวนการยังคงต้องการที่จะก่อเหตุอยู่เพื่อแสดงว่าเขายังมีอยู่ ในส่วนของฝ่ายไหนทำ คงต้องให้เจ้าหน้าที่ทำงานสักหน่อย ขอย้ำเรื่องของการใช้ความอดทนเพื่อไปสู่เป้าหมายที่จะเกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืนต่อไป”

ในวันเดียวกันนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของมาเลเซีย กล่าวว่า ไม่มีกองกำลังใด ๆ จากฝั่งมาเลเซียร่วมการโจมตีบนฝั่งไทย” นายฮัมซา ไซนุดดิน รมว. มหาดไทย กล่าวกับเบนาร์นิวส์

“เหตุการณ์เกิดในภาคใต้ของไทย แต่ ณ ปัจุบันนี้ ไม่มีการประกาศว่ามีคนมาเลเซียมีส่วนเกี่ยวข้อง และยังไม่มีข้อมูลใด ๆ ว่าผู้ก่อเหตุหลบหนีอยู่ในมาเลเซีย เราทำงานร่วมกับฝ่ายไทยในเรื่องนี้อยู่” มูฮัมหมัด ซากี ฮรัน รักษาการผู้บัญชาการตำรวจกลันตัน กล่าวกับเบนาร์นิวส์ และระบุว่าทางการมาเลเซียจะไม่ปิดพรมแดนซึ่งจะเป็น “การกระทบต่อความสัมพันธ์ทางการทูต” และหมายถึง “การยอมให้กับภัยคุกคาม”

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง