กองทัพภาคที่ 4 แจงไม่ได้กดดันให้ผู้ต้องสงสัยต่อสู้
2021.07.09
ปัตตานี

พันเอก เกียรติศักดิ์ ณีวงษ์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า กล่าวในวันศุกร์นี้ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นกลุ่มบุคคลต้องสงสัยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามหลักสากล โดยไม่ได้บังคับให้ต่อสู้
พ.อ. เกียรติศักดิ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับเบนาร์นิวส์ หลังจากที่มีนักสิทธิมนุษยชนที่ติดตามเหตุการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กำลังที่ได้สัดส่วนในการจับกุมผู้ต้องสงสัยหรือบุคคลตามหมายจับ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าจนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นและจบลงด้วยการวิสามัญฆาตกรรม
ในเหตุล่าสุด เมื่อวันจันทร์นี้ (5 กรกฎาคม 2564) เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง ได้ปิดล้อมผู้ต้องสงสัยซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นกลุ่มก่อความไม่สงบและพวก ที่หลบหนีไปอยู่ในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนามะอูฮัดซูบูลูซซาลาม ในบ้านชะเมาสามต้น อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี แล้วเกิดการยิงต่อสู้กันเป็นเวลานานประมาณ 17 ชั่วโมง กว่าที่เหตุการณ์จะสงบลง นอกจากนั้น ยังมีผู้ต้องสงสัยอีกสี่ถึงห้าคน หลบหนีไปทางบ้านบือแนบาแด ตำบลกะดุนง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ติดตามจับกุมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่พบตัวในช่วงกลางวันของวันศุกร์นี้
“เรามีการเจรจา แต่เจ้าตัวเขาไม่ยอมออกมามอบตัว นอกจากไม่ยอมออกมาแล้วยังยิงใส่เจ้าหน้าที่ ยิงใส่สุนัขได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเราเปิดโอกาสแล้ว ไม่ได้ไปบังคับให้สู้ อาจจะมีบังคับให้มอบตัวมากกว่า” พ.อ. เกียรติศักดิ์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
พ.อ. เกียรติศักดิ์ ยังกล่าวว่า ทางเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฎการปะทะ แต่จำเป็นต้องใช้กำลังปิดล้อมโดยมีการใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ด้วยการประกาศให้วางอาวุธ พร้อมทั้งได้เชิญผู้นำท้องที่ ผู้นำศาสนาในพื้นที่ และญาติของผู้ก่อเหตุรุนแรง ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ยอมเข้ามอบตัว
“กฎการปะทะเป็นอะไรที่แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องล้อมไว้ก่อน เพื่อไม่ให้หนี ซึ่งก็เป็นไปตามหลักสากลอยู่แล้ว... ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ให้ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่มาคุย แล้วถ้าเขายิงหรือขว้างระเบิด เหมือนวันก่อนที่สายบุรีจนทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ เราต้องป้องกันตัว” พ.อ. เกียรติศักดิ์ กล่าว
ในส่วนข้อสังเกตว่าทางเจ้าหน้าที่ใช้กำลังนับร้อยนายเข้าปะทะ ซึ่งไม่ได้สัดส่วนกับสถานการณ์นั้น พ.อ. เกียรติศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง
“กำลังที่ใช้ถ้าเป็นยุทธการ ประมาณ 20 นาย ส่วนอื่นก็เป็นส่วนสนับสนุนอาหารการกิน ชุดส่องทางไกล ชุดโดรน” พ.อ. เกียรติศักดิ์กล่าว
เมื่อวันอังคารนี้ น.ส. พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ได้กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า การปิดล้อมตรวจค้นหรือที่เรียกว่าพิสูจน์ทราบด้วยการใช้กองกำลังติดอาวุธของรัฐจำนวนนับร้อยนาย เท่ากับเป็นการบังคับให้ผู้ต้องสงสัยต้องต่อสู้ด้วยอาวุธ และส่งผลลบเมื่อมีการเสียชีวิต
“การใช้ศาลเตี้ยหรือการสังหารบุคคลก่อนเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ก่อให้เกิดความสูญเสียของประชาชน แทนที่จะนำบุคคลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมและสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการของรัฐ” น.ส. พรเพ็ญ กล่าว
นอกจากมูลนิธิผสานวัฒนธรรมแล้ว นางสาวอัญชนา หีมมิหน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ มีความเห็นว่า การใช้กำลังจำนวนมากนำไปสู่การใช้อาวุธเกินความจำเป็น และสุ่มเสี่ยงในการก่อให้เกิดอันตรายต่อชุมชน และไม่ได้ช่วยให้การปฏิบัติการบรรลุผล
ด้าน นายรักชาติ สุวรรณ ประธานเครือข่ายชาวพุทธเพื่อสันติภาพ ในจังหวัดยะลา ให้ทรรศนะว่า เป็นเรื่องยากในการตอบคำถามว่าเจ้าหน้าที่จะปิดล้อมอย่างไรให้ถูกหลักสิทธิมนุษยชน
“เมื่อมีผู้ก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่ในพื้นที่ มีความจำเป็นที่ฝ่ายความมั่นคงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน การปิดล้อมเพื่อควบคุมตัวย่อมเกิดขึ้น แต่หากอีกฝ่ายไม่ยอมให้ควบคุมตัว มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการปะทะ” นายรักชาติ กล่าวกับเบนาร์นิวส์
“หากมีผู้ก่อความไม่สงบหลบซ่อนอยู่ 2 คน แต่เจ้าหน้าที่มากันร่วม 50 หรือ 60 หรือ 100 คน แบบนี้ก็เกินไป แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับยุทธวิธีเขาด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มักมีการสนธิกำลังร่วมกันหรือสามฝ่าย คือ ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เขาก็มียุทธวิธีของเขาเช่นกัน” นายรักชาติ ระบุ