แม่ทัพภาคสี่ ระบุ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียช่วงรอมฎอน

มารียัม อัฮหมัด
2024.03.26
ปัตตานี
แม่ทัพภาคสี่ ระบุ ไม่อยากให้เกิดการสูญเสียช่วงรอมฎอน พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 นำเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจภูธร เดินทางออกจากห้องประชุมหลังเสร็จสิ้นการแถลงข่าว ที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่วนหน้า อำเภอเมือง จังหวัดยะลา
มาตาฮารี อิสมาแอ/เบนาร์นิวส์

พล.ท. ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวในการประชุมร่วมทหาร, ตำรวจ และฝ่ายปกครองว่า เจ้าหน้าที่พยายามปฏิบัติการตามหลักสิทธิมนุษยชน และไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียในช่วงเดือนถือศีลอด หรือรอมฎอน แม้เพิ่งมีเหตุวิสามัญผู้ต้องสงสัยที่ปัตตานีเมื่อกลางเดือน ด้านนักสิทธิมนุษยชนชี้ ความรุนแรงในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ทำให้สถานการณ์ชายแดนใต้คุกรุ่น 

“เราเน้นย้ำทุกหน่วย ทุกครั้งให้ปฏิบัติตามหลักกฎหมาย หลักสิทธิมนุษยชน ให้ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนามีส่วนร่วม ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย กำชับให้เจ้าหน้าที่พูดคุยและสร้างความเข้าใจ แก่ครอบครัว และญาติของผู้ต้องสงสัยให้ทราบ ถึงขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ รวมทั้งให้ปฏิบัติด้วยความโปร่งใส ยุติธรรม คำนึงถึงสิทธิมนุษยชนให้มากที่สุด” พล.ท. ศานติ กล่าวที่จังหวัดยะลา

ด้าน พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เปิดเผยว่า ศอ.บต. พยายามใช้มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ เพื่อหวังลดความโกรธแค้นจากเหตุการณ์

“การช่วยเหลือเยียวยา ช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แก่ผู้ได้รับผลกระทบ เป็นการแสดงว่า ไม่ทอดทิ้งผู้สูญเสียและผู้ได้รับผลกระทบฯ ทุกกรณี และมุ่งให้เกิดความรักความสามัคคี ลดความโกรธแค้น ชิงชัง โดยเจตนารมณ์และหลักคิดของการเยียวยา คือ การคืนความสันติสุขกลับคืนสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้” พ.ต.ท. วรรณพงษ์ กล่าว

การประชุมร่วมครั้งนี้ เกิดขึ้นหลังจากเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2567 เกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิด-วางเพลิง ทำลายทรัพย์สินของราชการและเอกชนกว่า 60 จุด ในพื้นที่ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่าคนร้ายก่อเหตุ เพื่อตอบโต้การวิสามัญฆาตกรรมผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง 2 รายในปัตตานี เมื่อ 14 มีนาคม 2567 

ปัจจุบัน พล.ต.ท. ปิยะวัฒน์ เฉลิมศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ระบุว่า ตำรวจกำลังพยายามรวบรวมข้อมูลหลักฐาน เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว 

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาคที่ 4 สรุปรายงานเหตุความไม่สงบในวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมาว่า พบเหตุความไม่สงบทั้งหมดอย่างน้อย 60 จุด ในยะลา ปัตตานี นราธิวาส และสงขลา  

ซึ่งเป็นการวางเพลิงอาคารของเอกชน ทำลายทรัพย์สินของราชการ เสาโทรศัพท์ และกล้องวงจรปิด 

ต่อมาในวันที่ 23 มีนาคม เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคง 6 ราย ในพื้นที่ จ.นราธิวาส และนำตัวไปยัง หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 46 (ฉก.ทพ.46) อ.เมือง จ.นราธิวาส ขณะที่ในวันอังคารนี้เกิดเหตุ อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) เจ๊ะมาฮาดี เจ๊ะแล สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4513 (ร้อย ทพ.4513) เหยียบกับระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะลาดตระเวนบนภูเขาในพื้นที่ ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส 

ด้าน น.ส.อัญชนา หีมมิหน๊ะ ประธานกลุ่มด้วยใจ และกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาศึกษาและเสนอแนวทางการส่งเสริมกระบวนการสร้างสันติภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สภาผู้แทนราษฎร มีความเห็นในประเด็นนี้

“ทหารควรมองว่า การบังคับใช้กฎหมายด้วยความรุนแรง เป็นหนึ่งสาเหตุของความรุนแรงช่วงเดือนรอมฎอนเช่นกัน เพราะหลังการวิสามัญฆาตกรรม เมื่อวันที่ 14 มีนาคม (ที่ปัตตานี) ก็มีการใช้ความรุนแรงตอบโต้การวิสามัญ ถ้าอยากให้เกิดประโยชน์กับประชาชนจริง ๆ ทั้งฝ่ายความมั่นคงและบีอาร์เอ็นต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ทั้งสองฝ่ายจริงใจที่จะเจรจากัน เพื่อลดการบาดเจ็บและเสียชีวิต” 

กรณีที่เกิดขึ้นอยู่ในห้วงเดือนแห่งการถือศีลอด ตามที่นายอรุณ บุญชม จุฬาราชมนตรี ได้ประกาศว่า วันที่ 1 ของเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1445 ตรงกับวันอังคารที่ 12 มีนาคม 2567 ซึ่งฝ่ายความมั่นคงระบุว่า จะใช้แผน “รอมฎอนสันติสุข” ที่เป็นแนวทางสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6-7 กุมภาพันธ์ 2567 คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ฝ่ายไทย ได้หารือกับตัวแทนกลุ่มบีอาร์เอ็น ที่ประเทศมาเลเซีย และระบุว่า ฝ่ายไทยจะทดลองปลดประกาศจับผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ลดการปิดล้อม และตั้งด่านตรวจ ช่วงเดือนรอมฎอน และสงกรานต์ แต่ก็ยังมีเหตุวิสามัญฆาตกรรม

สำหรับแผนการดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม (Joint Comprehensive Plan towards Peace - JCPP) มีแนวทางหลัก 3 ข้อ คือ 1. การลดความรุนแรงในพื้นที่ และลดการเผชิญหน้า 2. การจัดการปรึกษาหารือกับประชาชน และ 3. การแสวงหาทางออกทางการเมือง ซึ่งฝ่ายไทยคาดหมายว่า บีอาร์เอ็นจะร่วมลงนามรับรอง JCPP ภายในปีนี้ และสามารถนำไปสู่ข้อตกลงสันติสุขร่วมกันในอนาคต

ฝ่ายความมั่นคงระบุว่า ช่วงวันที่ 11 กุมภาพันธ์-11 มีนาคม 2567 หรือหนึ่งเดือนก่อนเดือนรอมฎอน มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้น 13 ครั้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 9 ราย

ในปี 2565 คณะพูดคุยฯ เคยริเริ่มกำหนดช่วงหยุดยิง “รอมฎอนสันติสุข” เมื่อวันที่ 31 มีนาคม-1 เมษายน โดยอนุญาตให้ผู้มีหมายจับคดีความมั่นคงเดินทางกลับบ้าน เพื่อประกอบศาสนกิจกับครอบครัวได้โดยไม่ถูกคุมตัว ในห้วงเวลาการถือศีลอด และทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช้กำลังปะทะกัน ซึ่งปีนั้น คณะพูดคุยฯ แถลงว่า แนวทางดังกล่าวประสบความสำเร็จ เพราะลดเหตุความรุนแรงได้ อย่างไรก็ตาม รอมฎอนสันติสุขไม่ได้ถูกปฏิบัติในปี 2566

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ ระบุว่า ตั้งแต่มกราคม 2547 ถึงพฤศจิกายน 2566 มีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นกว่า 22,200 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตกว่า 7,540 ราย และมีผู้บาดเจ็บอีกกว่า 14,000 ราย 

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง