พลทหารถูกลงโทษถึงแก่ชีวิตในยะลา ส่วนอีกรายอาการสาหัส

ในวันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559  ที่กองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก  กล่าวชี้แจงกรณีการเสียชีวิตของ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด สังกัด ร.152 พัน.1 ค่ายพยัคฆ์ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา ว่าสาเหตุมาจากถูกทำโทษปรับปรุงวินัย เนื่องจากได้กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติด

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2559 พลทหาร 2 นาย จากสังกัดค่ายพยัคฆ์ ร.152 พัน 1 อำเภอบันนังสตา จ.ยะลา ได้รับบาดเจ็บอาการสาหัส หลังถูกลงโทษจากต้นสังกัด เพราะทำความผิดทางวินัยทหาร คือ พลทหารทรงธรรม หมุดหมัด อายุ 23 ปี ถูกนำส่งเข้ารับการรักษาตัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลศูนย์ยะลา แพทย์ได้ใช้เครื่องหายใจช่วย แต่ได้เสียชีวิตในวันนี้ ส่วนอีกนาย คือ พลทหารศุขพัฒน์ ชุมศรี อายุ 23 ปี มีอาการสาหัส รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร ในปัตตานี

พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และว่าจะลงโทษผู้กระทำความผิดเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรและทหารชั้นประทวน 6 นาย ในสถานหนัก

“กองทัพบกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอแสดงความเสียใจต่อญาติผู้สูญเสีย โดยที่ผ่านมา กองทัพบกได้มีการเน้นย้ำไปกับหน่วยทุกระดับมาตลอด ต่อการดำเนินการใดๆ กับผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้องเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับของทางราชการเท่านั้น ใครฝ่าฝืนจะต้องมีโทษสถานหนัก” พ.อ.วินธัย กล่าว

สำหรับกรณีพลทหาร ทรงธรรม หมุดหมัด ซึ่งเสียชีวิตในวันนี้ ทางกองทัพบกยืนยัน จะไม่ปกป้องกำลังพลที่กระทำความผิด ซึ่งทางหน่วยต้นสังกัด พล.ร.15 มีการตั้งกรรมการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องในทันที ทั้งนี้ ผลสรุปพบว่า มีกำลังพลกระทำผิดจริง เป็นกำลังพลทั้งนายทหารและนายสิบ รวม 6 นาย ทั้งหกทำโทษปรับปรุงวินัยกำลังพล โดยไม่เป็นไปตามระเบียบข้อบังคับตามแบบธรรมเนียมทหาร ซึ่งขณะนี้ทางหน่วยได้อยู่ในระหว่างการดำเนินการทางวินัย เพื่อลงโทษกำลังพลที่กระทำความผิดทั้งหกนาย ตามอำนาจที่มีอยู่ขั้นสูงสุด

“การดูแลเยียวยาญาติ ทางหน่วยต้นสังกัดได้มีการเตรียมการไว้อย่างเรียบร้อยอยู่ในระหว่างประสานกับทางญาติของ พลทหารทรงธรรม” พ.อ.วินธัย กล่าว

สองทหารถูกซ้อมหลังพบว่าเสพยาเสพติด

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พลทหาร 2 นาย คือ พลฯ ทรงธรรม หมุดหมัด อายุ 23 ปี และพลฯ ศุขพัฒน์ ชุมศรี อายุ 23 ปี สังกัดค่ายพยัคฆ์ ร.152 พัน 1 อำเภอบันนังสตา จ.ยะลา ถูกลงโทษจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่ง พลฯ ทรงธรรม หมุดหมัด อายุ 23 ปี ได้เสียชีวิตในระหว่างการรักษาตัวที่ห้องไอซียู โรงพยาบาลศูนย์ยะลา ส่วน พลฯ ศุขพัฒน์ ชุมศรี ยังนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ายอิงคยุทธบริหาร ในปัตตานี

มารดาของพลทหารทรงธรรม หมุดหมัด กล่าวว่า เมื่อวาน ตนทราบข่าวจากเพื่อนลูกว่า ลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่รู้สึกตัว ถูกส่งโรงพยาบาล เมื่อดูสภาพร่างกายของเขา ช้ำทั้งตัวเหมือนถูกทำร้าย หมอบอกว่า เขามีเลือดออกในสมองด้วย จนถึงวันนี้ เขาก็ยังไม่รู้สึกตัว ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หมอบอกว่า เขาตายตั้งแต่ตอนส่งโรงพยาบาลแล้ว ตอนนี้อยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจเท่านั้น

“เมื่อวานได้เข้าไปฟัง มีสอบปากคำเจ้าหน้าที่ทหารที่คิดว่าน่าจะมีส่วนในการลงโทษ และทำให้บาดเจ็บ ทหารบอกว่าจะรับผิดชอบ แต่ก็ไม่มั่นใจ ถ้าสื่อไม่เสนอข่าว เดี๋ยวเรื่องจะเงียบ ก็อยากขอความเป็นธรรมให้พวกเขาทั้งสองคนด้วย” มารดาของ พลฯ ทรงธรรม กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

ผู้สื่อข่าวในพื้นที่ ยังได้รายงานว่า ในขณะที่ผู้สื่อข่าวพยายามทำรายงานข่าวนั้น มีเจ้าหน้าที่ทหารบางนายพยายามกดดันญาติของผู้ได้รับบาดเจ็บ ไม่ให้พูดคุยกับผู้สื่อข่าว

ส่วนเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ โรงพยาบาลศูนย์ยะลา กล่าวว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาล และแพทย์ที่ให้การรักษา พลฯ ทรงธรรม หมุดหมัด ไม่ให้สัมภาษณ์ และจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น

กรรมการนักสิทธิมนุษยชนเรียกร้องให้พิจารณาคดีอย่างโปร่งใส

นางอังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ที่จะซ้อมทรมานผู้ใด และควรที่จะส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ตนมีความกังวล คือ ทหารอยู่ในค่าย ควรมีความปลอดภัย ไม่น่าจะมีการซ้อมทรมานเกิดขึ้น แต่กลับไม่ปลอดภัย

“ผู้บังคับบัญชาน่าจะต้องรู้ ทำไมปล่อยให้สาหัส ไม่เอาส่งโรงพยาบาลก่อน ถ้าสมมุติมีการดูแลอย่างใกล้ชิด มีการสอดส่อง น่าจะมีผลดีกว่านี้ และประเทศไทยเป็นภาคีในการเขียนอนุสัญญาเมื่อปี 2550 ไม่อนุญาตให้มีการซ้อมทรมาน อย่างไม่มีข้อยกเว้น” นางอังคณา กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

“กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติขอเรียกร้องให้มีการไต่สวนคดี มีการสอบสวนอย่างโปร่งใส โดยให้ญาติสามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้เสียชีวิต มีการฟื้นฟูเยียวยา” นางอังคณา กล่าว

หน่วยข่าวด้านความมั่นคงในพื้นที่ ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม กล่าวว่า “จะมีการเชิญญาติมาฟังการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ที่ร่วมในเหตุการณ์ ซึ่งมีอยู่หกนายด้วย และทราบว่ามีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ทราบมาว่าต้นสังกัดจะให้ความเป็นธรรมต่อญาติผู้เสียหายทั้งสองนาย”