ครม. ขยายเยียวยาแรงงาน เพิ่มเกษตรกร 10 ล้านคน

นนทรัฐ ไผ่เจริญ และวิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2020.04.28
กรุงเทพฯ
200428-TH-COVID-food-donation-1000.jpg ประชาชนเดินทางมารับอาหารแจก ที่สำนักงานของกลุ่มอาสาสมัครคลองเตยดีจัง ในย่านสลัมคลองเตย กรุงเทพฯ วันที่ 22 เมษายน 2563
เอพี

ในวันอังคารนี้ คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบให้มีการต่ออายุพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 ทั้งยังได้เห็นชอบให้ขยายขอบเขตการเยียวยาให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จากเดิมที่จะจ่ายให้กับประชาชน 14 ล้านคน เพิ่มเป็น 16 ล้านคน จ่ายคนละ 5 พันบาทต่อเดือน 3 เดือน และเห็นชอบอนุมัติจ่ายเงินแก่เกษตรกร 10 ล้านคน จำนวน 5 พันบาทต่อเดือน 3 เดือน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ครม. ได้มีมติเห็นชอบในหลายประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) ในวันนี้ โดยคำนึงถึงการดูแลด้านสาธารณสุขเป็นหลัก ทั้งได้เห็นชอบการขยายอายุของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ จากเดิมที่จะหมดอายุในวันที่ 30 เมษายน 2563

“เราจำเป็นต้องมีการต่ออายุของ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมเป็นต้นไป ในข้อกำหนดดังกล่าวเหล่านั้น หลายข้อกำหนดยังคงสภาพเดิมอยู่ ในเรื่องของการเคลื่อนย้าย ควบคุม ในเรื่องของการแพร่ระบาดของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ในอีกส่วนก็จะมีมาตรการในการผ่อนคลาย ปลดล็อคกิจกรรมต่างๆ ซึ่งขณะนี้ ได้มีคณะกรรมการในการศึกษาในการทำรายละเอียดในเรื่องเหล่านี้มา ว่ากิจกรรมใดควรจะมีการผ่อนปรนบ้าง ในระยะต่อไป ขอให้ทุกคนได้รอฟังการแถลงข่าวอีกครั้งหนึ่ง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“ในเรื่องของการช่วยเหลือเยียวยา วันนี้ เราก็ดูทุกพวกเกษตรกร ประกันสังคม ทั้งนอกระบบ ในระบบ อาชีพอิสระต่างๆ ก็หลาย 10 ล้านคน จากเดิมตั้งไว้เพียงแค่ 3 ล้าน มีเรื่องเสนอเข้า ครม. ไปแล้ว อาชีพอิสระ ลูกจ้างนอกระบบ นักศึกษา 16 ล้าน เกษตรกรอีก 10 ล้าน… แรงงานในระบบประกันสังคม 11 ล้านก็อีกส่วนแล้ว ในส่วนของกลุ่มเปราะบางก็กำลังพิจารณาอยู่ ต้องมีคณะกรรมการการในการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมยืนยันว่าจะดูแลให้ดีที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพิ่มเติม

โดย นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเกี่ยวกับมาตรการการเยียวยาที่ ครม. เห็นชอบในวันนี้ว่า การเยียวยาจะแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือ ส่วนของแรงงาน และเกษตรกร

“เดิมที่มีโครงการที่กระทรวงการคลังได้ขออนุมัติไป 14 ล้านคน สำหรับเงินช่วยเหลือต่อเดือนเดือนละ 5 พันบาทเป็นเวลา 3 เดือน วันนี้ ครม. ได้อนุมัติเพิ่มเป็นไม่เกิน 16 ล้านคน จึงทำให้เงินโครงการเป็นไม่เกิน 2.4 แสนล้านบาท โดยแหล่งที่มาของเงินจะมาจากงบประมาณปี 63 จำนวน 7 หมื่นล้านบาท ส่วนอีก 1.7 แสนล้านบาทจะมาจาก พ.ร.ก. เงินกู้ฯ สำหรับโครงการนี้จะดำเนินการตั้งแต่ 24 มีนาคม - 30 มิถุนายน 63 นี้” นางนฤมล กล่าว

“โครงการที่สอง ครม. เห็นชอบด้วยก็คือ ช่วยเหลือเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 โดยที่ให้การช่วยเหลือในลักษณะเดียวกันกับกรณีแรก คือ เดือนละ 5 พันบาท เป็นเวลา 3 เดือน กลุ่มเป้าหมายเป็นเกษตรกร 10 ล้านคน ซึ่งจะประกอบไปด้วย กลุ่มแรกเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเอาไว้แล้ว กับกรมส่งเสริมการเกษตร กรมปศุสัตว์ และกรมประมง รวมทั้งสิ้น 8.43 ล้านคน เกษตรกรกลุ่มที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลการขึ้นทะเบียน 1.57 ล้านราย รวมวงเงินช่วยเกษตรกร 1.5 แสนล้านบาท” นางนฤมล กล่าวเพิ่มเติม

ทั้งนี้ เฟซบุ๊กแฟนเพจไทยคู่ฟ้าของทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า มีผู้ที่ลงทะเบียนบนเว็บไซต์ได้รับเงินเยียวยาระหว่างวันที่ 8-24 เมษายน 2563 แล้ว 4,900,000 ราย และในช่วงวันที่ 27-29 เมษายน 2563 จะทยอยโอนเงินให้อีก 2,600,000 ราย ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 8-29 เมษายน 2563 จะมีผู้ได้รับเงินเยียวยารวม 7,500,000 ราย คิดเป็นเงิน 38,000 ล้านบาท
 ขณะเดียวกัน มีผู้ขอยกเลิกการลงทะเบียน 940,000 ราย ขอทบทวนสิทธิ 3,400,000 ราย ขอสละสิทธิ 1,675 ราย และ กลุ่มที่ต้องกรอกข้อมูลเพิ่มเติมอีก 1,100,000 ราย

ผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีอัตราที่น้อยลงมาก

ด้าน นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยแก่สื่อมวลชนในการแถลงข่าวว่า ไทยยังคงพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 และผู้เสียชีวิตเพิ่ม แต่ถือว่ามีอัตราที่น้อยกว่าในช่วงเดือนที่ผ่านมามาก

“เราพบผู้ป่วยรายใหม่ในวันนี้ คือ 7 ราย ทำให้ผู้ป่วยยืนยัน สะสมวันนี้ 2,938 ราย หายป่วยไปแล้วเพิ่มขึ้นวันนี้ 43 ราย รวมเป็น 2,652 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 ราย รวมเป็น 54 ราย… วันนี้ที่เราทำได้ 7 ราย เกิดขึ้นจากเมื่อ 7 และ 14 วันที่แล้ว ที่ท่านร่วมมือกันอย่างดี... เพราะฉะนั้นต้องขอแรงทุกท่านยังต้องทำตัวสม่ำเสมอกว่านี้ จะต้องเข้มงวดอย่างงี้ไปตลอด ซึ่งเราก็จะได้อยู่รอดกันทุกคน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

“การที่จะบอกว่า เบาใจ วางใจ ใช้ชีวิตให้เหมือนเดิมยังไม่ได้ เพราะถ้าจะให้เหมือนเดิมได้ มีทางเดียวต้องมีวัคซีน หรือยารักษาให้หายได้ ตอนนี้ยังไม่มี เพราะฉะนั้นยังต้องเข้มในเรื่องของการป้องกัน ควบคุมอย่างดี เพื่อตัวเลขนี้จะได้คงต่อในอีก 14 วันข้างหน้า” นพ.ทวีศิลป์ กล่าวเพิ่มเติม

โรงเรียน: สถานที่ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง

ขณะที่ นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวในการแถลงข่าวที่กระทรวงสาธารณสุขว่า หากสถานประกอบการจะกลับมาเปิดจำเป็นต้องคำนึงถึงมาตรการทางสาธารณสุข เช่นกัน โรงเรียนหากจะเปิดเรียนจำเป็นต้องมีมาตรการจัดการที่ดีมาก เพราะอาจเป็นจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาด

“สถานที่ในโรงเรียนคือ มีเด็กเป็นจำนวนมากไปอยู่รวมตัวกัน ถ้าพิจารณาตามตารางความเสี่ยง ที่โรงเรียน ถือเป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ความที่เด็กมีอาการค่อนข้างน้อย ก็อาจจะทำให้การแพร่ระบาดของโรคโดยที่ผู้ใหญ่ หรือคุณครูตรวจจับไม่เจอ โรงเรียนอาจจะกลับมาเปิดได้ แต่โรงเรียนต้องเข้าใจ ผู้ปกครองต้องเข้าใจ เด็กต้องเข้าใจ ต้องมีระบบในการจัดการกับปัญหาที่ดี ที่น่ากลัวคือถ้ามีการระบาดในเด็ก ผลกระทบจะไปเกิดกับสังคม ครู พ่อแม่ อาจจะอาการรุนแรง”​ นพ.ธนรักษ์ กล่าว

นพ.ธนรักษ์ แนะนำแนวทางสำหรับการกลับมาเปิดสถานประกอบการดังนี้ 1. ต้องรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล เช่น การทำงานจากบ้าน การออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น การเหลื่อมเวลาทำงาน การรักษาระยะห่างจากผู้อื่นอย่างน้อย 1-2 เมตร 2. ต้องมีการออกแบบทางวิศวกรรม เช่น การออกแบบสถานประกอบการให้มีอุปกรณ์มากั้น เพื่อให้แต่ละบุคคลอยู่ห่างกัน 3. ต้องการปรับปรุงระบบงาน โดยการปรับปรุงระบบงานเพื่อให้ทั้งผู้รับบริการ และผู้ให้บริการมีความเสี่ยงต่ำลง โดยลดโอกาสที่จะสัมผัสกันโดยตรงและนำเทคโนโลยีมาใช้ และ 4. ต้องมีอุปกรณ์ป้องกันตัวส่วนบุคคล (PPE) คือ การให้ทั้งผู้รับบริการ และผู้ให้บริการสวมใส่หน้ากากผ้า หรือ สวมใส่เฟซชิลด์ตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ต่อการขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นางขวัญณภัทร ห่อภิญโญจินดา ช่างเสริมสวยอายุ 49 ปี ชาวกรุงเทพฯ ระบุว่า เห็นด้วยกับการขยายมาตรการออกไปเพื่อให้แน่ใจว่า โรคจะไม่ระบาดรุนแรง

“เห็นด้วยกับการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพื่อให้ชัวร์ ๆ ว่าโรคหายขาดไปเลยทีเดียว เพื่อให้ปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อเวลาเปิดการท่องเที่ยวอีกครั้ง… เรื่องการจะกลับมาเปิดร้านเสริมสวย เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะพวกเราต้องทำมาหากินกัน ตอนนี้ อาศัยเงินช่วยเหลือจากรัฐอยู่” นางขวัญณภัทร กล่าว

ขณะที่ น.ส.นัชชา ตันติ ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี อายุ 26 ปี ชาวกรุงเทพฯ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เนื่องจากเห็นว่า รัฐบาลใช้เพียง พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ ก็สามารถควบคุมโรคได้

“ไม่เห็นด้วยกับการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จากที่ศึกษาความแตกต่างระหว่าง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ กับ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ เห็นว่าสิ่งที่ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีให้อำนาจเพิ่มจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ คือการสั่งห้ามชุมนุม ควบคุมการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญมีข้อยกเว้นความผิดให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งตรงนี้น่ากลัวว่าจะทำให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจโดยที่ประชาชนไม่สามารถตรวจสอบหรือเอาผิดได้ ส่วนตัวเห็นว่าการใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ จึงเพียงพอแล้ว” น.ส. นัชชา กล่าว

กทม.เตรียมเสนอผ่อนปรนสถานที่บางประเภท

ส่วนในกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้กล่าววันอังคารนี้ว่า กทม. มีการประชุมเตรียมพิจารณา โดยจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร ให้ผ่อนปรนสถานที่ 8 ประเภท ให้เปิดทำการได้ หลังจากกรุงเทพมหานคร มีคำสั่งให้ปิดสถานที่ 34 ประเภท เป็นการชั่วคราว เพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ 30 เม.ย.นี้

สถานที่ 8 ประเภท ดังกล่าวมี 1. ร้านอาหารทั่วไปแบบที่สามารถนั่งที่ร้านได้ แต่ต้องจัดที่นั่งห่างกัน 1.5 เมตร ยกเว้นร้านอาหารที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า และไม่ให้ขายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมทั้งต้องเปิด-ปิดร้าน ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2. ตลาดและตลาดนัด โดยให้ขายสินค้าได้ทุกประเภท 3. สถานที่ออกกำลังกาย รวมถึงศูนย์กีฬาและศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร จะเปิดบริการให้เข้าไปออกกำลังกาย แต่ต้องเป็นกีฬาที่มีระยะห่างกัน เช่น กีฬาเดิน วิ่ง แบดมินตัน เทนนิส เป็นต้น

ประเภทที่ 4. สวนสาธารณะ ให้เปิดออกกำลังกาย และพักผ่อนได้ แต่ห้ามรวมกลุ่มสังสรรค์ 5. ร้านตัดผม ร้านเสริมสวย อนุญาตให้ทำได้เฉพาะ ตัด สระ ไดร์ และใช้การจองคิวเท่านั้น ต้องหยุดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุก 2 ชม. ส่วนช่างทำผมต้องใส่หน้ากากอนามัย และ Face Shield

ประเภทที่ 6. ร้านตัดขนสัตว์ และคลินิกหรือโรงพยาบาลสัตว์ โดยนำสัตว์เข้าร้านได้แค่ 1 คน/1 ตัว เท่านั้น และหยุดทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกๆ 2 ชม. 7. โรงพยาบาล คลินิก และสถานพยาบาล และ 8. สนามกอล์ฟ และสนามฝึกซ้อม

ซึ่งจะต้องทำตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่กรุงเทพมหานครกำหนดอย่างเข้มงวด โดยต้องมีการวัดอุณหภูมิผู้ใช้บริการ ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลก่อนเข้า และจัดระยะห่างระหว่างบุคคล 1.5-2 เมตร หากไม่ปฏิบัติตามมาตรการนี้ก็จะสั่งปิดทันที

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง