ศาลไต่สวนอานนท์ หลังอ้างแกนนำประท้วงเจออันตรายในคุก

วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช
2021.03.17
กรุงเทพฯ
ศาลไต่สวนอานนท์ หลังอ้างแกนนำประท้วงเจออันตรายในคุก นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (ซ้าย) และนายอานนท์ นำภา ชูสามนิ้วทักทายผู้สนับสนุน เมื่อเดินทางมาถึงศาลอาญา หลังจากที่อัยการมีคำสั่งฟ้องดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นสถาบันและคดีอื่น ๆ ที่ศาลอาญา กรุงเทพฯ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564
เอพี

ในวันพุธนี้ ศาลอาญา ได้เริ่มไต่สวน นายอานนท์ นำภา และตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์ ในกรณีที่นายอานนท์ได้ยื่นคำร้องต่อศาล โดยอ้างว่าตนและเพื่อนผู้ต้องกักในระหว่างการดำเนินคดี อาจจะได้รับอันตรายจากเจ้าหน้าที่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ที่ไม่สามารถระบุตัวตน ด้านอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้แถลงข่าวปฏิเสธว่าเจ้าหน้าที่ต้องการนำตัวผู้ต้องหาในกลุ่มเสี่ยงไปตรวจโควิดเท่านั้น

นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความจากศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ระบุว่า ศาลจะมีการไต่สวนอีกครั้ง โดยจะได้มีคำสั่งเรียกให้เบิกตัว นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ นายภานุพงษ์ จาดนอก พร้อมด้วยหลักฐานที่เป็นภาพจากกล้องวงจรปิดจากเรือนจำมาให้ศาลพิจารณาในวันจันทร์ที่จะถึงนี้

นายกฤษฎางค์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว กรณีนี้ เป็นการร้องขอให้คุ้มครองความปลอดภัยในขณะถูกคุมขังในเรือนจำ นายอานนท์อยากได้รับมาตรการที่ปลอดภัย

“เพราะขณะนี้ จำเลยทั้งหมดไม่ได้รับการประกันตัวต้องอยู่ในเรือนจำ เกรงว่าจะได้รับอันตราย ที่ผ่านมามีผู้ต้องขังตายในเรือนจำระหว่างรอการพิจารณาคดีหลายกรณี ส่วนการประกันตัว ยอมรับว่าหมดหวังเพราะเมื่อวานศาลชี้ชัดว่าไม่ให้ประกัน อย่างไรก็ตาม ในการไต่สวนวันนี้ ศาลได้เรียกให้ตัวแทนจากกรมราชทัณฑ์เข้าชี้แจง” นายกฤษฎางค์ กล่าว

ในหนังสือร้องเรียนผ่านศาลถึงเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายอานนท์ ระบุเหตุพิรุธว่า “เนื่องจากในช่วงเวลากลางคืนของวันที่ 15 มีนาคม 2564 ต่อเนื่องจนถึงเวลากลางคืนของวันที่ 16 มีนาคม 2564 ได้มีกลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่เรือนจำพยายามจะนำตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก ไปควบคุมนอกแดน และมีกลุ่มบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในชุดสีน้ำเงินเข้มไม่ติดป้ายชื่อแจ้งว่า จะนำตัวนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และนายภาณุพงศ์ จาดนอก และบุคคลอื่นๆ ซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าด้วย ไปตรวจหาโควิดในช่วงยามวิกาล และในช่วงระยะเวลาหลังเที่ยงคืน อันเป็นช่วงที่ผิดปกติวิสัย” ...ข้าพเจ้าจึงโปรดให้ท่านชี้แจงข้อเท็จจริง

“นายอานนท์ เบิกความต่อศาลด้วยว่า มีคำเตือนมาก่อนแล้วว่า มีบุคคลหนึ่ง ซึ่งนายอานนท์เอ่ยเป็นชื่อเล่น ในห้องพิจารณาว่า เขาจะส่งคนมาจัดการ นายอานนท์และคนอื่น ๆ ในเรือนจำ นายอานนท์ยังยกตัวอย่างผู้ต้องหาคดีการเมืองหลายคนที่เสียชีวิต ขอให้ศาลได้โปรดคุ้มครอง เพราะมีตัวอย่างมาแล้ว” นายกฤษฎางค์ กล่าวกับผู้สื่อข่าว

“จำเลยคงทำอะไรไม่ได้ นายอานนท์ก็แถลงขอให้ศาลช่วยชีวิต เนื่องจากเป็นผู้คุมขังตามหมายศาล ศาลพูดชัดเจนว่า ดูแลเหมือนกันทุกคน ศาลเห็นความจำเป็นก็ไต่สวนเพื่อปกป้องดูแล ศาลกังวลถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง ของจำเลยเช่นกัน” นายกฤษฎางค์ กล่าวเพิ่มเติม

นายกฤษฎางค์ ระบุด้วยว่า ศาลได้เรียกให้นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ นายภานุพงศ์ จาดนอก ซึ่งอยู่ร่วมในเหตุการณ์มาไต่สวนในกรณีนี้ด้วย และศาลได้ออกหมายเรียกพยานหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดจากเรือนจำมาประกอบการไต่สวน ในวันจันทร์ที่ 22 มีนาคม ที่จะถึงนี้ เนื่องจากนายอานนท์ ยืนยันต่อศาลว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยทั้งหมด ซึ่งเป็นนักโทษการเมือง เกรงว่าจะได้รับอันตรายถึงชีวิต จึงได้พยายามไปยืนหน้ากล้องวงจรปิด ดังนั้นจะเห็นภาพในกล้องวงจรปิดแน่นอน

ทนายความกฤษฎางค์ นุตจรัส ระบุเพิ่มเติมว่า มีความพยายามจากเจ้าหน้าที่ในการจะพาตัวแกนนำกลุ่มราษฎร 3 คน ที่ย้ายมาจากเรือนจำพิเศษธนบุรี ประกอบด้วย นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา, นายภานุพงศ์ จาดนอก และ นายปิยรัฐ จงเทพ ออกจากแดนขังในกลางดึก เพื่อไปกักตัวยังสถานที่ที่ไม่ใช่สถานที่กักตัวตามปกติวิสัย พวกเขาจึงปฏิเสธว่าไม่ประสงค์จะย้ายตัวในช่วงค่ำ แต่จะขอย้ายในช่วงเช้าแทน รวมถึงมีการนำกำลังเข้ามาในลักษณะนี้หลายรอบ จึงทำให้เป็นกังวลในเรื่องความปลอดภัย

“เรื่องประกันตัวคงไม่มีหวัง เพราะมีความพยายามหลายรอบ แต่ศาลบอกว่ายังไม่มีเหตุให้ต้องปล่อยตัวชั่วคราว ขณะนี้ติดเรื่องเดียวคือกลัวกระทำซ้ำอีกกับที่ถูกกล่าวหา เช่น ไปชุมนุมอีก หรือ ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ม.112 ก็ไปปราศรัยอีกนายกฤษฎางค์

นายกฤษฎางค์ กล่าวเพิ่มเติมถึง กรณีที่ นายพริษฐ์ หรือ เพนกวิน ที่ประกาศอดอาหารประท้วงวันนี้เป็นวันที่ 3 ว่า ขณะนี้สภาพร่างกายค่อนข้างอ่อนเพลีย ไม่มีแรง

กรมราชทัณฑ์ชี้แจง

ในช่วงบ่าย นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พร้อมด้วยผู้บริหารแถลงข่าวชี้แจงกรณีการร้องเรียนนี้ว่า เหตุที่เกิดเป็นความต้องการจะนำตัวไปตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งเป็นมาตรการปกติของเรือนจำ

“เป็นการตรวจโควิดเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด เพราะว่าอยู่ในแดนสอง ไม่เอาออกนอกแดน เป็นเรื่องของการตรวจโควิด เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่จะไปทำร้ายร่างกายของผู้ต้องขังเด็ดขาด... ส่วนเรื่องการจะถูกทำร้ายหมายเอาชีวิตเป็นไปไม่ได้ ยืนยันว่าไม่มีใครไปทำร้ายเขาแน่นอน ได้กำชับไปแล้วว่าให้ดูแลเขาให้ดีไม่ให้ถูกทำร้ายอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์

ส่วนกรณีที่ต่างชาติจับตาเรื่องการควบคุมตัวแกนนำกลุ่มราษฎรนั้น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุว่า “ไม่ได้มีความกังวล เพราะเราปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ข้อกำหนดขององค์การสหประชาชาติ และตรงตามระเบียบของกระทรวงยุติธรรมทุกประการ”

ด้านนายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า เนื่องจากผู้ต้องขังเหล่านี้ได้ย้ายมาจากเรือนจำพิเศษธนบุรี และศาลได้รับคำร้องให้ย้ายกลับมาคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ซึ่งมาถึงเวลา 18.40 . เมื่อเข้าสู่กระบวนการแล้วก็จะเข้าสู่กระบวนการจำแนก ก็คือ จำแนกผู้ต้องขังรายใหม่ ซึ่งทุกรายเข้าสู่กระบวนการคัดกรองโรคโควิด ก็จะเข้าไปสู่แดนกักกัน ซึ่งจะอยู่ในแดนสองนั่นเอง

กระทรวงยุติธรรมตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ด้านนางพริ้ม บุญภัทรรักษา แม่ของไผ่ ดาวดิน ได้เข้าร้องเรียนที่กระทรวงยุติธรรมเพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน 

“ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน.. เราไม่เห็นด้วย ถ้าตั้งคณะกรรมการภายในเรือนจำนั้น เพราะว่ามันจะไม่มีความโปร่งใส... การที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตั้งแต่สามทุ่ม สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม ถึงตีสอง มันเป็นจิตวิทยาในการกระทำให้จิตใจของผู้ต้องหาสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ กดดันในเรื่องสิทธิมนุษยชน อยากให้ตระหนักมาก ๆ เลย เพราะลูกเรายังถือว่าเป็นผู้บริสุทธ์ ถ้าเขาทำผิดก็อยากให้เขาต่อสู้คดีจนถึงที่สุด จนกว่าจะมีคำพิพากษา เราถึงจะยินยอมรับในกระบวนการยุติธรรมนางพริ้ม กล่าว

ด้านนายวัลลภ นาคบัว รองปลัดและโฆษกกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า คณะกรรมการจะไม่มีตัวแทนของทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ

“คำสั่งที่ท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมตั้งผมเป็นตัวแทน ล่าสุดจะไม่มีตัวแทนของทางเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เลย เพราะถ้าเอาผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาอยู่ในกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ก็คงจะหาข้อเท็จจริงลำบาก เขาเองเป็นผู้ที่ต้องมาชี้แจงเรา ว่าเวลาที่เกิดขึ้นจริง ๆ คืออะไร” นายวัลลภ กล่าวแก่ผู้สื่อข่าว

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง