นายกฯ เผยเมียนมาล้ำน่านฟ้าไทยไม่ใช่เรื่องใหญ่ เขาขอโทษแล้ว
2022.07.01
กรุงเทพฯ

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวกับผู้สื่อข่าวในวันศุกร์นี้ว่า เหตุเครื่องบินรบของเมียนมาล้ำน่านฟ้าไทยที่จังหวัดตาก ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และรัฐบาลเมียนมาได้ขอโทษกับกรณีที่เกิดขึ้นแล้ว ขณะที่ พล.อ.อ. นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ยอมรับว่า รู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ต้องรับมือกับสถานการณ์อย่างรอบคอบ
พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับกรณีที่เครื่องบินรบของเมียนมาล้ำน่านฟ้าว่า ขออย่าให้ขยายประเด็นดังกล่าวเป็นเรื่องใหญ่
“เขายอมรับแล้ว เขาขอโทษมาแล้ว ไม่ตั้งใจเจตนาหรอก เขาตีวงเลี้ยวเข้ามาในเขตไทยนิดหน่อย แล้วก็เครื่องบินเราขึ้นไปเพื่อ Warning (เตือน) เขาแล้ว มันก็เป็นมาตรฐาน ก็ทำแบบนี้แหละ… มันเป็นเรื่องที่มองดูมันเหมือนเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำให้เรื่องมันใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีกไหม วันนี้ เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมีอะไรก็พูดคุยหารือกัน” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว
หลังจากที่มีการรายงานข่าวว่าเครื่องบินรบแบบ มิก-29 ของเมียนมาล้ำน่านฟ้าไทยที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก แล้วใช้อาวุธยิงโจมตีกองกำลังทหารกะเหรี่ยงตรงข้ามบ้านวาเล่ย์ เมื่อวานนี้ ประชาชนไทยได้แสดงความไม่พอใจที่กองทัพอากาศไทยปล่อยให้เครื่องบินเมียนมารุกล้ำน่านฟ้า โดยที่ไม่มีเครื่องบินขับไล่ของกองทัพอากาศไทยเข้าสกัดกั้นให้ทันเวลา
“เครื่องบินพม่าบินล้ำน่านฟ้าไทยไปถล่มชนกลุ่มน้อยหลายเที่ยวแล้ว ทำเป็นไม่เห็น พอเขาเลิกบิน ก็ส่งเครื่องไปบินเล่น ความจริงไม่กล้ากับพม่าหรอก กลัวพม่าปิดวาล์วส่งก๊าซ NGV เดี๋ยวเจ้าสัวเจ้าของโรงไฟฟ้า ไม่มี NGV ปั่นไฟขาย อยากได้ F-35 มาทำไรวะ” ผู้ใช้เฟซบุ๊กนาม อำนาจ แล่นทม กล่าวในเพจสมรภูมิ
ในวันเดียวกัน พล.อ.อ. นภาเดช กล่าวว่า เหตุที่ ทอ. ตอบสนองเหตุการณ์ได้ไม่รวดเร็วนัก เนื่องจากจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะดำเนินการตอบโต้
“ผมก็เดือดเหมือนกัน บางทีอาจจะเดือดกว่าพี่น้องประชาชนอีกด้วย สิ่งที่เราดำเนินการไปแล้ว ก็คือเราได้ติดต่อประสานกับผู้บังคับบัญชาระดับสูงกองทัพพม่า-เมียนมา ก็ขอให้กำกับดูแลให้การปฏิบัติการอะไรก็แล้วแต่ ในเขตแดนของท่าน ขอให้อยู่แต่ในขอบเขตในบ้านของท่าน อย่าได้ล่วงล้ำเข้ามา” พล.อ.อ. นภาเดช กล่าว
พล.อ.อ. นภาเดช เปิดเผยว่า กองทัพเมียนมาอ้างว่า สภาพอากาศที่ย่ำแย่เป็นสาเหตุที่ทำให้เครื่องบินรบของเมียนมาล้ำเข้ามาในเขตแดนไทย โดยยืนยันว่าหากฝ่ายไทยรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้น จะได้มีการนำเครื่องบินรบไทยขึ้นเพื่อแจ้งเตือนก่อนแล้ว
“หากว่าเราพบว่า ทางนู้นยังพลั้งพลาด จะด้วยเจตนา จงใจ หรือไม่จงใจก็ตาม เราจะดำเนินการในขั้นที่เด็ดขาด… ต้องบอกก่อนว่าเมียนมา คือ เพื่อน เหมือนสมมติเรามีบ้านแล้วเพื่อนพลั้งเผลอ เดินตัดสนามหญ้าหน้าบ้าน เราจะยิงเขาตายเลยเหรอ มันก็อาจจะเกินไป เพราะฉะนั้นคำว่า การปฏิบัติการที่เหมาะสม จึงอยู่ในพื้นที่ของเพื่อนปฏิบัติต่อเพื่อน” พล.อ.อ. นภาเดช ระบุ
ด้าน นายมานพ คีรีภูวดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้แถลงที่อาคารรัฐสภาในวันศุกร์โดยตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลไทยรู้เห็นกับกรณีที่เกิดขึ้นหรือไม่
“สงสัยว่ากระบวนการนี้มีการรู้เห็นเป็นใจ ทำให้เครื่องบินของประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทยหรือไม่ ทั้งที่เป็นการรุกล้ำความมั่นคงถึง 3 ครั้ง แต่ไม่มีการตอบรับอย่างทันท่วงที ทีกรณีพี่น้องนักศึกษาแสดงความเห็นบอกเป็นภัยความมั่นคง นี่ต่างหากที่เป็นภัยความมั่นคงของจริง” นายมานพ กล่าว
ในวันพุธที่ผ่านมา กองกำลังผสมฝ่ายกะเหรี่ยง พยายามโจมตีอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะยึดค่ายอูเกรคี บ้านอูเกรทะ อ.สุการี จ.เมียวดี ซึ่งเป็นฐานที่มั่นที่สำคัญของกองทัพรัฐบาลเมียนมา ขณะที่ทหารเมียนมาได้ส่งเครื่องบินรบ 2 ลำ เข้าไปโจมตีทางอากาศบริเวณรอบ ๆ ค่ายอูเกรคี และส่งเฮลิคอปเตอร์นำอาวุธยุทโธปกรณ์ และเสบียงอาหารไปส่งให้ทหารเมียนมา ตรงข้ามบ้านวาเล่ย์ อ.พบพระ จ.ตาก เพื่อส่งไปให้ทหารตามฐานต่าง ๆ
ต่อมาในเวลาประมาณ 11.30 น. ของวันพฤหัสบดี มีประชาชน ในจังหวัดตาก เห็นเครื่องบิน มิก-29 (MiG-29) ล้ำเข้ามาในเขตแดนไทยและบินวนอยู่ 3 รอบ รวมถึงมีการใช้อาวุธ จนทำให้รถยนต์ของประชาชนไทยได้รับความเสียหายจากสะเก็ดอาวุธ ทำให้ต่อมากองทัพอากาศได้ส่งเครื่องบินรบ เอฟ-16 ขึ้นลาดตระเวนบริเวณดังกล่าว เพื่อเป็นการแจ้งเตือนถึงรัฐบาลเมียนมา
ศูนย์สั่งการชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก ระบุในเย็นวันที่ 30 มิถุนายน 2565 ว่า ในการปะทะกันทั้งสองฝ่ายที่เกิดขึ้นในพี้นที่ตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา มีกระสุนไม่ทราบชนิด/ไม่ทราบฝ่าย ข้ามมาตกยังฝั่งไทย บริเวณไร่ปาล์ม บ้านวาเล่ย์เหนือ หมู่ 3 ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ ส่งผลให้ยานพาหนะของประชาชนได้รับความเสียหาย
ปัจจุบัน ผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมา ได้เดินทางเข้ามายังฝั่งไทย 855 คน ในพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราว ต.วาเล่ย์ อ.พบพระ 2 แห่ง คือ บ้านมอเกอร์ไทย ผู้หนีภัยยอดเดิม 281 คน เดินทางเข้ามาฝั่งไทย 26 คน และสมัครใจเดินทางกลับเมียนมา 2 คน ยอดคงเหลือ 305 คน และบ้านวาเล่ย์เหนือ ผู้หนีภัยยอดเดิม - คน เดินทางเข้ามาฝั่งไทย 550 คน ยังไม่มีผู้เดินทางกลับ
การรุกล้ำน่านฟ้าไทยเกิดขึ้นหนึ่งวัน หลังจาก พล.อ. อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาคที่ 3 จากกองทัพบกไทย เดินทางไปกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา เพื่อร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา ครั้งที่ 34 ตามรายงานของ Global New Light of Myanmar อย่างเป็นทางการ ทั้งสองฝ่ายหารือถึงวิธีการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างกองกำลังป้องกันและมาตรการต่อต้านการก่อการร้าย เพื่อปรับปรุงเสถียรภาพตามแนวชายแดน รายงานระบุ
เรดิโอฟรีเอเชีย ภาคภาษาพม่า ร่วมรายงาน