ชาวโรฮิงญาเสี่ยงชีวิตหนีออกจากค่ายผู้ลี้ภัย เพราะกลับบ้านก็ไม่ได้

ทีมข่าวเบนาร์นิวส์
2022.12.14
ธากา, กัวลาลัมเปอร์, กรุงเทพฯ, จาการ์ตา และวอชิงตัน
ชาวโรฮิงญาเสี่ยงชีวิตหนีออกจากค่ายผู้ลี้ภัย เพราะกลับบ้านก็ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ช่วยเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางมาถึงพร้อมกับกลุ่มชาวโรฮิงญา 120 คน ที่ท่าเรือ Krueng Geukueh ทางเหนือของจังหวัดอาเจะห์ อินโดนีเซีย วันที่ 31 ธันวาคม 2564
ราห์มัท มิซรา/เอพี

นักปกป้องสิทธิมนุษยชนพบว่า จำนวนผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญายอมเสี่ยงอันตรายถึงชีวิตในการเดินทางทางเรือมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้ต้องการเข้ามายังประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะพวกเขาจะสามารถเข้าถึงการศึกษา อาหาร และงาน

กลุ่มทำงานด้านสิทธิและเอ็นจีโอในภูมิภาคระบุว่า ความรู้สึกสิ้นหวังก่อตัวเพิ่มมากขึ้นในหมู่คนไร้รัฐเหล่านี้ เพราะพวกเขามองไม่เห็นอนาคตของตนเองหากต้องถูกส่งตัวกลับไปยังเมียนมา ซึ่งสถานการณ์ภายในไม่มั่นคงนับตั้งแต่กองทัพเมียนมาก่อการรัฐประหาร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 อีกทั้งชาวโรฮิงญาไม่สามารถทำงาน หรือให้การศึกษาที่เหมาะสมกับลูกหลานของพวกเขาได้ ภายในค่ายพักพิงที่บังกลาเทศ เพราะพวกเขาถูกห้ามเดินทางออกนอกอาณาเขตค่าย

ในช่วงเวลานี้ ชาวโรฮิงญาตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากกลางท้องทะเลและร้องขอความช่วยเหลือ ข้อมูลจากที่ปรึกษาประจำเมียนมาของรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (National Unity Government - NUG) ระบุ เขาโพสต์ข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ ซึ่งระบุว่าเป็นการบันทึกเสียงการพูดคุยทางโทรศัพท์กับชาวโรฮิงญาคนหนึ่งซึ่งกำลังลอยลำอยู่กลางทะเล โดยสัญญาณขอความช่วยเหลือนี้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

“ลูก ๆ ของเราอยู่โดยไม่มีอาหารมาเป็นเวลา 4-5 วันแล้ว เรากำลังทุกข์ทรมานจากความหิวโหย ดังนั้น โปรดจงช่วยเราให้ไปถึงฝั่ง” ปลายสายกล่าว โดยมีชาวโรฮิงญาซึ่งอยู่ในค่ายพักพิงที่บังกลาเทศเป็นผู้แปลความ “ลูกวัย 3 ขวบของเราตายบนเรือเพราะความหิวโหย พวกเราที่เหลือยังมีชีวิตรอด แต่เราไม่มีอาหารเหลือประทังชีวิตแล้ว”

“โปรดส่งสารนี้ไปยังผู้คนบนโลก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รวมถึงรัฐบาลอินโดนีเซียและมาเลเซีย”

ปลายสายซึ่งไม่ระบุตัวตนกล่าวว่า เรือของพวกเขาพังกลางทะเล ซึ่งเขาระบุว่าทะเลดังกล่าวอยู่ในน่านน้ำของอินโดนีเซีย

“เราเห็นว่าปัญหาชาวโรฮิงญาเดินทางโดยเรือซึ่งเสียงอันตรายกำลังมีเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้ ช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีเรือบรรทุกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาอย่างน้อย 4 ลำ เดินทางออกจากบังกลาเทศ โดยมีจุดหมายปลายทางคือชายฝั่งประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ลิเลียน แฟน ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิ Geutanyoë ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย กล่าวกับเบนาร์นิวส์

“สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะความมั่นคงที่ตกต่ำในเมียนมา รวมถึงค่ายพักพิงชาวโรฮิงญาในบังกลาเทศ”

มาฮี รามากริชนัน ผู้ก่อตั้งองค์กรเอ็นจีโอบียอนด์บอร์เดอร์ มาเลเซีย (Beyond Borders Malaysia) กล่าวว่า มีเรือลำหนึ่งซึ่งบรรทุกชาวโรฮิงญา 200 คน เดินทางออกจากบังกลาเทศมายังมาเลเซียเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

“เรายังได้รับรายงานหลายที่ว่ามีเรืออีกหลายลำลอยลำอยู่กลางทะเลมานานกว่า 2 สัปดาห์ แต่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยัน สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มาเลเซียจะทำได้คือ การส่งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานด้านการเดินสมุทรออกไปลาดตระเวนเพื่อระบุพิกัดเรือเหล่านี้ นำพวกเขากลับมายังฝั่ง และทำให้มั่นใจว่าพวกเขาลงเรือได้อย่างปลอดภัย” เธอกล่าว

“การไล่ล่าสังหารโดยคณะรัฐประหารเมียนมา ผลักดันให้ประชาชนหลบหนีออกจากประเทศตลอดทศวรรษจนถึงตอนนี้ การขาดแคลนอาหาร น้ำสะอาด รวมถึงการถูกลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐาน เป็นเหตุผลบางส่วนที่ชาวโรฮิงญาลี้ภัยมายังบังกลาเทศ” มาฮี กล่าวกับเบนาร์นิวส์

221214-sea-rohingya-2.jpg

ภาพเรือบรรทุกชาวโรฮิงญาถ่ายจากโดรน ใกล้เกาะลกสุคน ทางเหนือของจังหวัดอาเจะห์ อินโดนีเซีย วันที่ 24 มิถุนายน 2563 [ซิก มอลานา/เอพี]

เมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) รายงานว่าชาวโรฮิงญากว่า 2,000 คนล่องเรือออกจากบังกลาเทศและเมียนมาตลอดระยะเวลา 11 เดือนแรกของปี 2565 เปรียบเทียบกับตลอดทั้งปี 2564 ที่มีจำนวน 287 คน UNHCR ประเมินว่าชาวโรฮิงญาประมาณ 120 คนที่ล่องเรือหลบหนีในปีนี้ เสียชีวิตหรือสูญหายกลางทะเล

“UNHCR… และพันธมิตรด้านสิทธิมนุษยชนกำลังสังเกตการณ์จำนวนผู้คนที่พยายามเดินทางข้ามทะเลอันดามันที่เต็มไปด้วยภัยอันตราย ซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้” แถลงการณ์ของ UNHCR ระบุ

“UNHCR ขอเตือนว่าความพยายามเดินทางด้วยวิธีนี้มีความเสี่ยงต่อตัวผู้เดินทางและนำมาสู่ผลกระทบถึงแก่ชีวิตได้”

รายงานใหม่หลายฉบับชี้ให้เห็นว่าช่วงต้นเดือนนี้ ชาวโรฮิงญา 154 คนได้รับการช่วยเหลือจากเรือที่ล่มกลางทะเลอันดามัน และถูกส่งตัวกลับไปให้กองทัพเรือเมียนมา สำนักข่าวรอยเตอร์ส (Reuters) รายงานว่าเรือสัญชาติเวียดนามเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือชาวโรฮิงญากลุ่มนี้ ในขณะที่สำนักข่าวอื่น ๆ ระบุว่าเรือสองลำจากบริษัทน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของเมียนมาเป็นผู้ให้การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านี้ก่อนที่เรือจะล่ม

ชาวโรฮิงญาประมาณ 1 ล้านคน อาศัยอยู่อย่างแออัดในพื้นที่ค่ายผู้ลี้ภัยที่เมืองคอกซ์บาซาร์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของบังกลาเทศ ติดกับชายแดนเมียนมา โดยผู้ลี้ภัยจำนวนนี้ยังรวมถึงชาวโรฮิงญากว่า 740,000 คนที่หลบหนีออกจากเมียนมาในช่วงปี 2560 ที่กองทัพเมียนมาไล่ล่าสังหารชาวโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชาวโรฮิงญาอาศัยอยู่มากที่สุด

ในเดือนพฤศจิกายน 2560 สองประเทศได้ทำข้อตกลงส่งกลับผู้ลี้ภัย แต่ความพยายามในการส่งตัวผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศต้นทางนั้นล้มเหลว

“มีผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงหลายคนที่ถูกลิดรอนสิทธิอย่างมาก พวกเขาจึงมองไม่เห็นความเป็นไปได้ในทันทีว่าจะถูกส่งตัวกลับไปบ้านเกิดอย่างปลอดภัยได้อย่างไร พวกเขาพยายามหลบหนีออกจากที่นี่เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” มูฮัมเหม็ด จูแบร์ รักษาการประธานกลุ่มเพื่อสันติภาพและสิทธิมนุษยชนของสังคมชาวโรฮิงญาแห่งอาระกัน (Arakan Rohingya Society for Peace and Human Rights) ซึ่งเป็นกลุ่มดำเนินงานในค่ายพักพิงที่เมืองคอกซ์บาซาร์ กล่าวกับเบนาร์นิวส์

มิซานูร์ ราห์มัน คณะกรรมาธิการเพื่อการปลดปล่อยและส่งกลับผู้ลี้ภัยแห่งบังกลาเทศ ตำหนิว่า โอกาสอันเลือนรางในการส่งกลับผู้ลี้ภัยนั้นเกิดจากแรงผลักดันที่ทำให้ชาวโรฮิงญาหลบหนีออกจากค่ายพักพิง เพื่อแสวงหาบ้านหลังใหม่ในต่างแดน

“รัฐบาลเมียนมาและประชาคมโลกมีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบเรื่องนี้ เพื่อรับรองว่าผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจะถูกส่งตัวกลับประเทศอย่างมีเกียรติ” มิซานูร์ ราห์มัน กล่าวกับเบนาร์นิวส์

นูร์ ข่าน ลิตัน ผู้อำนวยการบริหาร Ain-O-Salish Kendra องค์กรสิทธิมนุษยชนในบังกลาเทศ ระบุว่ามีหลายเหตุผลที่ชาวโรฮิงญาต้องการหลบหนีจากค่ายพักพิง ซึ่งรวมถึงการขาดโอกาสในการศึกษาและสันทนาการ

เขาระบุต่อไปว่าวัยรุ่นชาวโรฮิงญา 40 คนถูกกักขังและสั่งปรับในช่วงต้นเดือนก่อนหน้านี้ เพราะเล่นฟุตบอลในสนามด้านนอกค่ายพักพิง ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลยูเคีย เมืองคอกซ์บาซาร์

ชาวโรฮิงญากำลังมองหาอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนยิ่งกว่า นูร์ ข่าน ลิตัน กล่าว

“มีความกังวลอย่างจริงจังเรื่องความปลอดภัยในค่ายพักพิงผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา สภาพความเป็นอยู่นั้นไม่เพียงพออย่างหนัก” เขากล่าวกับเบนาร์นิวส์

ตั้งแต่เดือนกันยายน 2564 สถานการณ์ความปลอดภัยในค่ายพักพิงเลวร้ายลงอย่างสังเกตเห็นได้ เพราะกลุ่มติดอาวุธและผู้ต้องสงสัยว่าเป็นกลุ่มต่อต้านชาวโรฮิงญามุ่งหมายสังหารชีวิตผู้ลี้ภัยและผู้นำกลุ่มชาวโรฮิงญา

221214-sea-rohingya-3.jpg

หญิงชาวโรฮิงญาได้รับการช่วยเหลือขึ้นฝั่ง ทางตอนเหนือของจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย วันที่ 25 มิถุนายน 2563 [มูซัคเคอ เนอร์ดิน/เบนาร์นิวส์]

ในเดือนพฤศจิกายน ชาวโรฮิงญามากกว่า 100 คนเดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งบริเวณชายฝั่งจังหวัดอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย หลังจากลอยลำอยู่กลางทะเลมานานเกินหนึ่งเดือน

อติกา ยุวนิตา ปารัสวาตี ผู้นำสมาพันธ์ประชาสังคมเพื่อปกป้องสิทธิผู้ลี้ภัย (SUAKA) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในอินโดนีเซีย ได้ประณามคณะรัฐประหารเมียนมาที่บังคับให้ประชาชนต้องพากันหลบหนีออกจากประเทศ

“เป็นความจริง สภาพการณ์ในรัฐยะไข่และค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศค่อนข้างไม่เหมาะสม ไม่มีอะไรที่พวกเขาทำได้ นั่นทำให้พวกเขาต้องหนี” ยุวนิตากล่าว “รัฐบาลเมียนมาต้องรับผิดชอบสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศ”

“เราในฐานะพลเมืองอินโดนีเซีย ต้องช่วยพวกเขาตามข้อกำหนดข้อที่ 125 ที่ประกาศโดยรัฐบาลในปี 2559 ซึ่งระบุว่าอินโดนีเซียควรรับผู้ลี้ภัยที่เดินทางมาที่นี่ ถึงแม้ว่าอินโดนีเซียจะไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาผู้ลี้ภัยก็ตาม” เธอกล่าว

ชาวโรฮิงญาบางคนพยายามเดินเท้าออกจากเมียนมา แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

เจ้าหน้าที่เริ่มดำเนินการสืบสวนสอบสวน หลังจากกลุ่มผู้หญิงชาวพม่าค้นพบศพจำนวน 13 ศพ ซึ่งเชื่อว่าเป็นชาวโรฮิงญา ถูกฝังอยู่ใกล้กับบ่อขยะในเมืองย่างกุ้ง

เรดิโอฟรีเอเชีย สำนักข่าวร่วมเครือข่ายของเบนาร์นิวส์ ระบุว่า ผู้อยู่อาศัยเชื่อว่าเหยื่ออาจถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหรือนายหน้าที่ถูกจ้างวานให้พาพวกเขาหลบหนีออกจากสภาพอันเลวร้ายในค่ายพักพิงและกลับไปอยู่แทนที่ผู้คนในรัฐยะไข่

ตั้งแต่ปี 2560 ที่กองทัพเมียนมารุกรานประชาชนในรัฐยะไข่ ชาวโรฮิงญาประมาณ 125,000 คนถูกควบคุมตัวในค่ายกักกันภายในรัฐ ข้อมูลจากเรดิโอฟรีเอเชีย ซึ่งรวบรวมระหว่างเดือนธันวาคม 2564 ถึงกันยายน 2565 พบว่าชาวโรฮิงญากว่า 800 คน ที่พยายามหลบหนีออกจากรัฐยะไข่ทั้งทางบกและทางน้ำถูกจับกุมในหลายพื้นที่ของเมียนมา

เสียงชีวิต

ในประเทศไทยซึ่งมีชายแดนติดกับเมียนมา นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกล่าวกับเบนาร์นิวส์ว่า ผู้ค้ามนุษย์อาจจ้องเอารัดเอาเปรียบชาวโรฮิงญา โดยถือโอกาสจากการที่ของพวกเขามีความต้องการที่จะหลบหนีออกจากค่ายพักพิง

“ยากที่จะบอกว่าชาวโรฮิงญาที่พยายามเดินทางเข้าประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะเราเห็นว่าพวกเขาพยายามเข้ามาโดยใช้ทุกช่องทางที่จะทำได้ พวกเขาเดินทางมาทั้งทางทะเลและทางบก” พุทธณี กางกั้น ผู้อำนวยการ The Fort พื้นที่สำหรับผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุ

“พวกเขาเสี่ยงชีวิตหลบหนีออกจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา หรือในฐานะผู้ลี้ภัยจากค่ายพักพิงในเมืองคอกซ์บาซาร์” เธอกล่าว

พุทธณีเรียกร้องให้รัฐบาลไทยสร้างความร่วมมือ “โดยเร่งด่วนกับรัฐบาลประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเพื่อดำเนินภารกิจค้นหาและช่วยเหลือเรือบรรทุกผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาซึ่งลอยลำอยู่กลางทะเล”

221214-sea-rohingya-4.jpg

เจ้าหน้าที่ความมั่นคงบังกลาเทศยืนดูแลช่วยเหลือชาวโรฮิงญาขึ้นจากทะเล หลังจากมีผู้จมน้ำตายอย่างน้อย 3 ราย ขณะเรือที่มุ่งหน้าไปยังมาเลเซียจมนอกชายฝั่งบังกลาเทศ ที่เมืองเทคนาฟ วันที่ 4 ตุลาคม 2565 [เอเอฟพี]

รามากริชนัน จากองค์กร Beyond Borders Malaysia กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของมาเลเซียควรก้าวไปอีกขั้น ประเทศมาเลเซียซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมคือจุดมุ่งหมายหลักในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของชาวโรฮิงญาที่หลบหนีออกจากเมียนมาหรือค่ายพักพิงในบังกลาเทศ เพราะพวกเขานับถือศาสนาอิสลามเช่นเดียวกัน

“นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ควรเป็นผู้นำและเรียกร้องให้เกิดความพยายามร่วมมือจากชาติอาเซียนอื่น ๆ เช่น ไทย เพื่อช่วยเหลือเรือเหล่านี้ กฎหมายทะเลระบุให้เป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่ต้องช่วยเหลือผู้หญิง เด็ก และผู้ชาย ที่ลอยลำอยู่กลางทะเล” เธอกล่าว

มาเลเซียมีข้อผูกมัดตามหลักการห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement principle) ซึ่งระบุไว้ชัดเจนว่าเราไม่สามารถส่งผู้ที่กำลังหาสถานที่ลี้ภัยกลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาถูกดำเนินคดี ใช้ความรุนแรง หรือสังหารเอาชีวิตได้ รามากริชนันกล่าว

ความพยายามตั้งถิ่นฐานใหม่

ขณะที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สหรัฐอเมริกายินดีรับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาจำนวน 24 คน จากกลุ่มผู้ลี้ภัยจำนวน 64 คน ที่ระบุตัวตนได้ว่าเป็นผู้ยื่นเรื่องขอตั้งถิ่นฐานใหม่ ซึ่งมาจากค่ายพักพิงในเมืองคอกซ์บาซาร์ ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่บังกลาเทศระบุ

เมื่อวันอังคาร กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ UNHCR และรัฐบาลบังกลาเทศ เพื่ออนุญาตให้ชาวโรฮิงญาอพยพมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ

“โครงการนี้ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของโครงการรับผู้ลี้ภัยจากทั่วโลกของรัฐบาลอเมริกัน คือหนึ่งภาคส่วนของการสนองนโยบายชายแดนที่ครอบคลุมต่อวิกฤติผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญา โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเตรียมการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาโดยสมัครใจอย่างปลอดภัย มีเกียรติ และยั่งยืน สหรัฐฯ จะพิจารณาการโยกย้ายเพื่อตั้งถิ่นฐานใหม่ตามเอกสารที่ยื่นเรื่องโดย UNHCR” แถลงการณ์ระบุ

“‘การตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวโรฮิงญาจากบังกลาเทศที่เผชิญภัยอันตรายอย่างถึงที่สุดสะท้อนต่อสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้นำด้านการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในการตั้งถิ่นฐานใหม่มาอย่างยาวนานท่ามกลางวิกฤติการบังคับโยกย้ายถิ่นฐานครั้งใหญ่อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตามข้อมูลตัวเลขที่บันทึกไว้ว่ามีผู้คนจากทั่วโลกที่ถูกบังคับให้หลบหนีออกจากสงคราม การไล่ล่าสังหาร และความไม่มั่นคง”

ในขณะเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ชาวโรฮิงญาเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศหรือไม่ ตามข้อมูลของ Bangladesh Sangbad Sangstha (BSS) สำนักข่าวในสังกัดรัฐบาลบังกลาเทศ

“รัฐบาลญี่ปุ่นได้รับคำร้องเกี่ยวกับการเป็นประเทศที่สามเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่ (ของชาวโรฮิงญา) จากประเทศของคุณ สำนักงาน UNHCR ที่นี่กำลังให้คำปรึกษาเราในการพิจารณาถึงความเป็นไปได้” อิโตะ นาโอกิ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำกรุงธากา กล่าวกับสำนักข่าวนั้น ก่อนที่เขาจะหมดวาระกาดำรงตำแหน่ง เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ชาวโรฮิงญาประมาณ 300 คน อาศัยอยู่ในเมืองซึ่งห่างจากกรุงโตเกียวไปทางเหนือ 100 กิโลเมตร

อาหมัด โฟเยซ ในธากา, ปิซาโร โกซาลี อิดรัส ในจาการ์ตา, นิชา เดวิด ในกัวลาลัมเปอร์, วิลาวัลย์ วัชรศักดิ์เวช ในกรุงเทพฯ และเรดิโอฟรีเอเชีย ร่วมรายงาน

ช่องแสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นโดยการกรอกแบบฟอร์มด้วยอักษรธรรมดา ความเห็นจะได้รับการอนุมัติ ตามเงื่อนไข Terms of Use ความคิดเห็นจะไม่แสดงในทันที อาร์เอฟเอจะไม่รับผิดชอบใดๆ ต่อเนื้อหาในข้อคิดเห็นนั้นๆ กรุณาให้เกียรติต่อความคิดเห็นของบุคคลอื่น และยึดถือข้อเท็จจริง