หน่วยความมั่นคงไทยจับตาความเคลื่อนไหวไอเอสและอุยกูร์ หลังเหตุการณ์รุนแรงในเบรุตและปารีส
2015.11.17

พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้แถลงข่าวที่ทำเนียบรัฐบาลในวันอังคาร (17 พ.ย. 2558) นี้ว่า ทางการไทยได้วางมาตรการข่าวกรอง และการป้องกันการก่อร้ายในประเทศอย่างเข้มงวด หลังมีเหตุการก่อการร้ายในกรุงเบรุตและกรุงปารีสเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้จับตามองสมาชิกกลุ่มรัฐอิสลาม และกลุ่มอุยกูร์ ที่อาจจะเข้ามาเคลื่อนไหวเข้าออกประเทศไทย
พลเอกทวีป กล่าวว่า มีรายงานการขยายของอิทธิพลของแนวคิดรัฐอิสลาม (Islamic State – IS) มายังภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ และในขณะนี้ ยังไม่มีรายงานข่าวการเข้ามาเคลื่อนไหวในประเทศไทย แต่ทางการไทยก็ไม่ประมาท
"ประชาคมข่าวกรองทั้งของเราเอง และของมิตรประเทศ ยืนยันว่า ยังไม่มีสมาชิกไอเอสเข้ามาในชายแดนใต้หรือในประเทศไทย แต่เราก็ต้องระวังป้องกัน อย่างไม่ประมาท" พลเอกทวีป กล่าวต่อผู้สื่อข่าว
พลเอกทวีป กล่าวว่าประเทศไทย ได้ประสานระหว่างหน่วยความมั่นคงและหน่วยการข่าว ของประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยได้มีการติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มก่อการร้ายอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มที่อาจจะมีการเคลื่อนไหวเข้าออกประเทศไทย
พลเอกทวีป กล่าวว่า กลุ่มที่ก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลุ่มหลัก ๆ มีอยู่ 3 กลุ่ม คือ อาบูซายาฟ อัลกออิดะฮ์ และเจมาอิสลามิยาห์ (เจไอ) ถือเป็นกลุ่มเดิมที่มีสมาชิกน้อยลง จึงพยายามแสวงหาพรรคพวกมากขึ้น โดยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสาขาของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส จึงต้องติดตามว่าจะมีผู้เข้าร่วมกับไอเอสมากแค่ไหน แต่ทั้งนี้ ไอเอสไม่ได้ให้การสนับสนุนมีเพียงการใช้ชื่อเท่านั้น
พลเอกทวีป กล่าวต่อไปว่า ในขณะเดียวกันก็ติดตามกลุ่มเห็นต่างในจังหวัดชายแดนใต้ แต่ยังไม่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย
"เท่าที่ติดตามดู ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุได้ว่ากลุ่มก่อความไม่สงบในชายแดนภาคใต้ของไทย จะเข้าไปร่วมกับกลุ่มไอเอส ถ้าไปเกี่ยวก็ไม่ดี เพราะกลุ่มนี้ในทางสากลกำหนดเป็นกลุ่มก่อการร้าย และใช้แนวทางจีฮัด ซึ่งแนวคิดต่างกันจากกลุ่มก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทย อีกทั้งมุสลิมก็ออกมาต่อต้านไอเอส เพราะไม่ใช่แนวทางศาสนาอิสลาม"
พลเอกทวีป เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ นอกจากระวังเรื่องกลุ่มไอเอสแล้ว ต้องจับตาทุกกลุ่มเคลื่อนไหว รวมทั้ง อูยกูร์ด้วย เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่อื่นขึ้นมาแล้ว เราก็ต้องไม่ประมาท ต้องเตรียมพร้อมด้านการข่าว ติดตามทุกกลุ่มที่เคลื่อนไหวทั้งหมด
แนวคิดเครือข่ายรัฐอิสลามในเอเชียอาคเนย์
ในระยะไม่นานมานี้ ได้มีรายงานข่าวว่ากลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงเดิมๆ ในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย เช่น กลุ่มอายูไซยาฟ กลุ่มเจมาอิสลามิยาห์ กลุ่มอัลเคดะ และมีแผนร่วมมือกันวางเครือข่ายการก่อการร้ายในประเทศมาเลเซีย
ศาสตราจารย์ พ. สุนทรามัวตีร์ ด้านอาชญาวิทยา มหาวิทยาลัย University Science of Malaysia กล่าวแก่เบนาร์นิวส์ ในวันจันทร์นี้ว่า เป็นไปได้ยากที่สมาชิกกลุ่มย่อยๆ ของกลุ่มหัวรุนแรงเหล่านี้ จะเดินทางไปร่วมกับหัวรุนแรงไอเอสในประเทศซีเรียและอิรัค จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีการก่อตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวในภูมิภาคแทน
“แต่ละกลุ่มเหล่านี้ ทราบว่าคงเป็นไปได้ยากที่พวกตนจะเดินทางไปร่วมปฏิบัติการกับกลุ่มหัวรุนแรง ในซีเรียและอิรัคได้ จึงเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะเคลื่อนไหวจัดตั้งรัฐอิสลามในส่วนอื่น ๆ ของโลก รวมทั้ง ในประเทศที่ตนอยู่” ศจ. สุนทรามัวตีร์ กล่าว
“สำหรับผมแล้วภัยคุกคามต่อภูมิภาคของกลุ่มก่อการร้ายเหล่านี้นั้น อาจจะยังไม่ได้เกิดขึ้นในฉับพลันทันใด แต่ผมขอเน้นย้ำว่า อย่าประมาทในสิ่งที่คนเหล่านี้จะลงมือทำ” ศจ. สุนทรามัวตีร์ กล่าวเพิ่มเติม
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของไทย กล่าวแก่เบนานิวส์ในเดือนมิถุนายนว่า จากการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานความมั่นคงของรัฐบาลต่างๆ ทราบว่า มีการขยายตัวของแนวคิด และอุดมการณ์รัฐอิสลาม ที่ได้กระจายไปในประเทศย่านเอเชียอาคเนย์ โดยในประเทศอินโดนีเซีย ที่มีสมาชิกกว่า 500 คน ในมาเลเซีย 70 กว่าคน ในฟิลิปปินส์มีจำนวนรองลงมา แต่ไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ส่วนในสิงคโปร์มีสองคน
ประเทศไทยติดตามการเคลื่อนไหวของผู้ก่อการร้ายทางไซเบอร์
สำหรับประเทศไทย พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้สั่งการไปในวันก่อนหน้านี้ว่า ให้เน้นมาตรการด้านไซเบอร์เพื่อติดตามการหาสมาชิกเพิ่มเติมของกลุ่มก่อการร้ายหรือการใช้ไซเบอร์สร้างมวลชนในภาคใต้ของไทย
พลเอกทวีป กล่าวว่า ได้มีการจับตากลุ่มเคลื่อนไหวทุกกลุ่ม รวมทั้ง กลุ่มอุยกูร์ด้วย ทั้งนี้ ทางการไทยได้จับตัวผู้ต้องหาที่เชื่อว่าเป็นชาวอุยกูร์สองคนตก ในข้อหาวางระเบิดศาลพระพรหมและท่าเรือสาทร ในวันที่ 17 และ 18 สิงหาคม ทีผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 22 ราย บาดเจ็บกว่าหนึ่งร้อยราย
พลเอกทวีป เผยว่า ตอนนี้ มีชาวอุยกูร์ อยู่ในการดูแลของเรา จำนวน 55 คน เป็นชายล้วน ที่เหลืออยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ ว่าหากไม่มีประวัติอาชญากรรม และไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆ ก็จะส่งไปประเทศที่สามโดยสมัครใจ เช่น ประเทศตุรกี ด้วย
นอกจากนี้ หน่วยความมั่นคง ทหาร และตำรวจ ยังได้รับการแจ้งเตือนให้เตรียมพร้อมรับการลักลอบเข้าเมือง หรืออพยพย้ายถิ่นฐานของชาวอุยกูร์ โรฮิงญาอีกครั้ง หลังหมดฤดูมรสุม พลเอกทวีปกล่าว