ตำรวจบุกจับ “แอมมี่” ฐานเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 หน้าเรือนจำคลองเปรม

ในวันพุธนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกจับตัวนายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ แอมมี่ นักร้องวง The Bottom Blues ที่บ้านพักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยก่อเหตุเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 10 หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้านนายอมรไชย ยอมรับผ่านทางอินสตาแกรมส่วนตัวว่าเป็นผู้ลงมือเผาพระบรมฉายาลักษณ์จริงและขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว

พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. แถลงข่าวที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในเวลาประมาณ 03.00 น. ของ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และนำหลักฐานขอหมายจับต่อศาลอาญา กระทั่งศาลอนุมัติในวันที่ 2 มีนาคม 2564 โดยนอกจากนายไชยอมร และอาจมีการขอออกหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดรายอื่น

“เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามจับกุมตัวจนกระทั่งไปพบตัวนายไชยอมร หรือแอมมี่ ที่บ้านเช่าที่อำเภอพระนครศรีอยุธยา… แล้วก็สามารถจับกุมตัวได้ประมาณหนึ่งนาฬิกา ขณะที่เข้าทำการควบคุมตัวพบว่า แอมมี่ มีอาการบาดเจ็บที่บริเวณไหล่ซ้ายและเชิงกรานด้านซ้าย จึงนำตัวไปที่โรงพยาบาลราชธานี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อทำการตรวจรักษาเบื้องต้น หลังจากนั้น จึงได้นำตัวมาควบคุมอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ… เป็นอาการบาดเจ็บก่อนที่เจ้าหน้าที่เข้าจับกุม” พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าว

“เบื้องต้นวางเพลิงเผาทรัพย์(ม. 218) และอาจจะพิจารณาว่าเป็นความผิดตาม มาตรา 112... ตำรวจไม่ได้ดูหลักฐานที่แค่ซีซีทีวี ยังมีพยานหลักฐานอื่นอีกหลายประการ... แต่ก็ยืนยันได้ว่า นายแอมมี่ หรือไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ เป็นคนร้ายในคดีนี้” พล.ต.ท.ภัคพงศ์ กล่าวเพิ่มเติม และระบุว่า มีกลุ่มคนร้ายไม่น้อยกว่า 1 คน

ในตอนค่ำ เบนาร์นิวส์ ได้โทรศัพท์ติดต่อ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ เพื่อสอบถามถึงข้อหาทั้งหมดที่แจ้งแก่นายไชยอมร ว่ามีข้อหาใดบ้าง แต่ พล.ต.ท.ภัคพงศ์ ไม่รับสาย

ในก่อนหน้านั้น เมื่อเวลาประมาณ 15.03 น. ศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน ทวีตว่า “กรณี #วางเพลิงเผาทรัพย์ #ม112 ที่ รพ.ตำรวจ ทนายความได้พบกับ 'แอมมี่' แล้ว แต่ทางพยาบาลไม่ให้ทนายและญาติเข้าเยี่ยม เพราะมาตรการโควิดตำรวจจะสอบปากคำและนำไปฝากขังวันนี้ ตามข้อหา ม. 112 ม. 227 (รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายมีโทษ) และ #พรบคอม”

ต่อมาในเวลาประมาณ 16.00 น. นายไชยอมร ได้โพสต์รูปตนเองถูกใส่กำไลข้อเท้า และเขียนข้อความผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ยืนยันว่า ตนเองเป็นผู้เผาพระบรมฉายาลักษณ์ดังกล่าว

“การกระทำการเผาพระบรมในครั้งนี้ เป็นฝีมือของผม และผมขอรับผิดชอบไว้แต่เพียงผู้เดียว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มการเคลื่อนไหว หรือ การเรียกร้องใด ๆ เหตุผลของผมนั้นเข้าใจง่ายมาก เล่าไปถึงตอนผมโดนจับไปวันที่ 13 ตุลา ปีที่แล้ว เพนกวินคือคนแรกที่โทรหาผมบนรถห้องขัง และประกาศรวมพลมวลชนทันที แต่กลับกันในครั้งนี้กวิน และพี่น้องของผมต้องติดอยู่ในคุกนานกว่า 20 วันแล้ว แต่ผมไม่สามารถที่จะช่วยเหลือพวกเค้าได้เลย ผมรู้สึกละอายและผิดหวังในตัวเอง” นายไชยอมร กล่าว

“การเผาพระบรมในครั้งนี้ ผมยอมรับว่าเป็นความคิดที่โง่เขลา และทำให้ตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ในการเผาครั้งนี้ มีอยู่มากมาย เป็นสัญลักษณ์ง่าย ๆ ที่หวังว่าทุกคนเข้าใจและจะมองเห็นมัน” นายไชยอมร กล่าวเพิ่มเติม

การวางเพลิงเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ร.10 เกิดขึ้น ก่อนการชุมนุมของกลุ่มประชาชนที่เรียกตัวเองว่า ราษฎร ซึ่งเริ่มต้นการเคลื่อนไหวในเดือนกรกฎาคม 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยมี 3 ข้อเรียกร้องหลักประกอบด้วย 1. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต้องลาออกจากตำแหน่ง 2. แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้ง ส.ส.ร. ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และ 3. ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมกระจายเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และมีการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายครั้ง ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ รวมถึงมีการดำเนินคดีกับแกนนำ และผู้ชุมนุมหลายคน

ศูนย์ทนายฯ ระบุว่า นายไชยอมร เป็นหนึ่งในคนที่ร่วมเคลื่อนไหวกับกลุ่มราษฎร และคดีนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขณะที่การวางเพลิงเผาทรัพย์ราชการ ตาม ม. 218 มีโทษตั้งแต่จำคุก 5-25 ปี, จำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต

ศูนย์ทนายฯ รวมรวมสถิตินับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 ถึงปัจจุบันพบว่า มีประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่มราษฎร ถูกตั้งข้อหา ม. 112 แล้วอย่างน้อย 61 ราย ใน 48 คดี เป็นการนับคดีที่มีผู้ได้รับหมายเรียก แม้จะยังไม่ได้เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาก็ตาม

น.ส. พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความจากศูนย์ทนายฯ ระบุในงานเสวนา ถ้าการเมืองดี เราย่อมเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันพุธนี้ว่า “กระบวนการการใช้คดีในการจำกัดผู้ชุมนุม เริ่มจากวันที่ 7 สิงหา (2564) จากที่มีการควบคุมอานนท์ (นำภา) มีการดำเนินคดีย้อนหลังไปถึง 18 กรกฎาคม 63 เราพบว่ามีการดำเนินคดีไปแล้วอย่างน้อย 223 คดี จากบุคคลทั้งหมด 382”

ในส่วนของผู้ต้องหา 22 ราย ที่ถูกจับจากการประท้วงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ 18 ราย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวออกมาแล้ว เมื่อวันอังคารนี้ ตามเฟซบุ๊คของนายนรเศรษฐ์ นาหนองตูม ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ส่วนเยาวชนอีก 4 รายนั้น ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางระบุ ได้ให้ประกันตัวทั้งสี่คนแล้วเช่นกันเมื่อวันจันทร์ โดยใช้หลักประกันเป็นเงินสดคนละ 15,000 บาท

ฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวว่าไทยไม่ปฏิบัติตามหลักสากล

ด้าน นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาประจำประเทศไทยของฮิวแมนไรท์วอทช์ เปิดเผยแก่เบนาร์นิวส์ว่า กรณีการสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ไม่สอดคล้องกับหลักสากล

“การประกันตัวตามหลักสากล ควรถือว่าเป็นการพิจารณาเป็นครั้ง ๆ รายกรณี ไม่ควรจะอ้างว่า ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนคำวินิจฉัยจากครั้งที่แล้ว … จะหลบหนีไหม คนเหล่านี้ไม่มีพฤติกรรมเหล่านี้ เขาก็มารายงานตัวทุกครั้ง เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรบ่งชี้ กลัวว่าจะก่อเหตุซ้ำ เท่ากับมีการสรุปไปล่วงหน้าแล้วว่า เขาทำผิดตามนั้นจริง เป็นประเด็นใหญ่มากกว่า คดี ม. 112 จะมีการขังระหว่างพิจารณาอย่างยาวนาน กรณี คุณสมยศ หรือไผ่ ดาวดิน (นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) ซึ่งก็ถูกวิจารณ์จาก สหประชาชาติ และองค์กรสิทธิมนุษย์” นายสุณัย กล่าว

“กรณีของวันที่ 28 กุมภา เป็นการย้ำว่า การกระทำของเขาตรงข้ามกับหลักสากล ผู้ชุมนุมมีบางส่วนที่ใช้ความรุนแรง และขว้างปา แต่การจับกุมมีการใช้การรุมสกรัม แม้ต่อสู้ไม่ได้ แล้วก็ถูกรุมกระทืบ เจ้าหน้าที่ใช้กำปั้น เท้า และกระบอง มีความมั่ว เพราะคนที่ถูกทำร้าย ไม่ได้เป็นคนที่ขว้างปา เป็นการลุแก่โทสะ ใช้กำลังอย่างไม่เลือกหน้า กระสุนยางมีการยิงอย่างไม่เจาะจง และยิงใส่ส่วนบนของร่างกาย ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักสากล” นายสุณัย กล่าวเพิ่มเติม

ฟรีดอมเฮาส์ ลดสถานะประเทศไทยลงสู่ระดับ “ไม่มีสิทธิเสรีภาพ”

องค์กรฟรีดอมเฮ้าส์ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระของสหรัฐฯ ที่เฝ้าติดตามการทำงานด้านการขยายเสรีภาพและประชาธิปไตยทั่วโลก กล่าวในรายงาน “เสรีภาพในโลกปี 2564 ประชาธิปไตยถูกลิดรอนอย่างหนัก” ที่เผยแพร่ในวันพุธนี้ว่า ได้ลดสถานะไทย จากมีสิทธิเสรีภาพบ้าง ไปเป็นประเทศที่ “ไม่มีสิทธิเสรีภาพ” ทั้งสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง”

“การประท้วงในประเทศไทยที่เรียกร้องให้มีการปฏิรูปประชาธิปไตย พบว่ามีการจับกุมและใช้รถบรรทุกฉีดน้ำพลังสูงต้านผู้ชุมนุม การปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรงของกองทัพ และการกำจัดพรรคฝ่ายค้านที่ได้รับความนิยม อันเป็นการกระทำตรงข้ามวิถีประชาธิปไตย ที่มีบ้างก่อนหน้านี้ และด้วยเหตุนี้สถานะของประเทศไทยจึงเปลี่ยนจากเสรีบางส่วน เป็นไม่เสรี” รายงานระบุ