สมาชิกอาเซียนและชาติอื่น ๆ พร้อมลงนามข้อตกลงการค้ามูลค่ามหาศาล
2020.11.11
วอชิงตัน

ประเทศสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ และคู่เจรจาอีกห้าประเทศ คาดการณ์ว่า ในวันอาทิตย์นี้จะมีการร่วมลงนามในข้อตกลงการค้ามูลค่ามหาศาลที่จีนให้การสนับสนุน ความตกลงนี้มีเป้าหมายในการลดพิกัดอัตราภาษีและกำหนดกฎเกณฑ์สำหรับการค้าร่วมกัน อีคอมเมิร์ซ และทรัพย์สินทางปัญญา เจ้าหน้าที่และสื่อรายงานในวันพุธนี้
ตามการคาดการณ์ว่าจะมีการลงนามในความตกลงนี้ ในระหว่างการประชุมสุดยอดของความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP) ในวันอาทิตย์นี้ นายโมฮัมเหม็ด อัซมิน อาลี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมของมาเลเซียกล่าว
“ตามที่เราทั้งหมดทราบแล้วว่า การเจรจา RCEP ซึ่งกระทำอย่างต่อเนื่องมาตลอดแปดปีที่ผ่านมา เป็นกระบวนการที่ยาวนานและยากลำบาก แต่ในที่สุดเราก็ถึงเส้นชัยจนได้” นายอัซมินกล่าวในแถลงการณ์ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ หลังจากเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งสุดท้ายสำหรับความตกลง RCEP ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากอีก 14 ประเทศ
และยังคาดว่า สมาชิกของสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 10 ประเทศ คือ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม ร่วมกับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ จะลงนามในความตกลงดังกล่าว ในวันสุดท้ายของการประชุมสุดยอดอาเซียน ที่จัดขึ้นเป็นเวลา 4 วัน
บรรดาประเทศที่เข้าร่วมในความตกลง RCEP มีจำนวนประชากร และผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ รวมทั้งสิ้นคิดเป็นเกือบร้อยละ 30 ของประชากรและผลิตภัณฑ์มวลรวมทั้งหมดของโลก ตามรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคมของสถาบันบรุกกิงส์ องค์กรการวิจัย ในกรุงวอชิงตันดีซี
การเจรจาเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2555 ซึ่งสถาบันบรุกกิงส์กล่าวว่า อาจเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีมูลค่ามากที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็เป็นได้ เห็นได้ชัดว่าอินเดียและสหรัฐฯ ไม่ได้เข้าร่วมในความตกลง RCEP ที่กำลังจะลงนามกันนี้
แม้อินเดียจะถอนตัวจากการเจรจาเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ท่ามกลางความกังวลว่า การเปิดการเข้าถึงตลาดจะทำให้เกิดการขาดดุลการค้ากับจีนเพิ่มขึ้น แต่ทั้ง 15 ประเทศที่คาดว่าจะลงนามในความตกลงนี้ ได้เปิดโอกาสเป็นพิเศษให้อินเดียกลับเข้าร่วมในความตกลงนี้อีก สำนักข่าวเกียวโดของญี่ปุ่นรายงาน
“ผมขอย้ำว่า ความตกลงนี้จะสามารถยกระดับการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคของเรา โดยจะให้ผลทวีคูณอย่างมากมายต่อระบบเศรษฐกิจ” นายอัซมินกล่าว “นี่รวมถึงการมีฐานลูกค้าจำนวนเกือบหนึ่งในสามของประชากรโลกด้วย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจและผู้ประกอบการค้าของเราสามารถเข้าถึงตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้”
“การลงนามนี้ยังจะเป็นการส่งสัญญาณในทางที่ดีให้โลกเห็นว่า มาเลเซียและชาติอื่นที่เข้าร่วมในความตกลง RCEP เลือกที่จะเปิดตลาดของเรา แทนที่จะหันไปใช้มาตรการจำกัดการนำเข้าจากต่างประเทศ ในระหว่างช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้” นายอัซมินกล่าวที่หมายถึงช่วงการระบาดใหญ่ทั่วโลกของโควิด-19
ขณะนี้ ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อโควิดแล้วจำนวน 51.8 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 1.27 ล้านคน ตามรายงานจากผู้เชี่ยวชาญการระบาดในมหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ ในสหรัฐฯ
นายอัซมินกล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลระดับประเทศและท้องถิ่นได้หารือกับบรรดาผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในประเทศ ถึงความเกี่ยวข้องของมาเลเซียในความตกลง RCEP
“สิ่งสำคัญคือ เราจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และการปกป้องและให้อุตสาหกรรมในประเทศมีโอกาสได้เติบโต ผมคิดว่า นี่คือหลักการพื้นฐานที่เราใช้ในระหว่างการเจรจาความตกลง RCEP นี้” นายอัซมินบอกแก่ผู้สื่อข่าว ในกรุงกัวลาลัมเปอร์
อากัส สุพาร์มันโต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าของอินโดนีเซีย กล่าวว่าการมีส่วนร่วมของอินโดนีเซียใน RCEP ทำให้จีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้น 0.05 เปอร์เซ็นต์ทุกปี ตั้งแต่ปี 2564 ถึง 2575
“RCEP จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ เพราะ 29.6 เปอร์เซ็นต์ของส่วนแบ่งตลาดทั่วโลก อยู่ในประเทศที่เข้าร่วม RCEP” อากัส กล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อวันพุธ
และกล่าวอีกว่า RCEP จะเปิดการเข้าถึงตลาดที่กว้างขึ้นสำหรับอินโดนีเซีย และเพิ่มการมีส่วนร่วมของประเทศในห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ขาดการมีส่วนร่วม
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางคนตั้งข้อสังเกตว่า การที่สหรัฐอเมริกาไม่เข้าร่วมในความตกลงนี้ อาจเป็นโอกาสให้จีนได้คู่ค้ารายใหม่ ๆ ภายในภูมิภาคนี้
“จีนจะใช้โอกาสนี้หรือไม่ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองในระยะสั้น (กลยุทธ์แบบ ‘จีนต้องมาก่อน’) หรือสร้างระบบที่อาศัยกฎเกณฑ์ที่ใช้ได้กับประเทศอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้เป็นต้นแบบสำหรับความร่วมมือระดับโลก” สถาบันบรุกกิงส์ตั้งคำถาม
“คำตอบของผู้นำจีนจะกำหนดภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองต่อไปในอนาคต”
นายหวัง หย่ง ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง เผยแก่หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ว่า ความตกลงนี้อาจช่วยให้จีนปรับปรุงความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับออสเตรเลียและชาติอื่น ๆ ในภูมิภาคได้ดีขึ้น
“จีนและออสเตรเลียยังคงมีผลประโยชน์ร่วมกันอยู่ ดังนั้น สองประเทศนี้จะยังสามารถหารือกันได้ถึงความร่วมมือในบริบทของกรอบความร่วมมือพหุภาคีในภูมิภาค” นายหวังกล่าว โดยพาดพิงถึงความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้
“เนื่องจากจีนและประเทศในเอเชียต่างก็อยู่ในสถานะที่ดีสำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจ หลังจากที่เราสกัดการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาได้เป็นผลสำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและประเทศเพื่อนบ้านก็จะยิ่งใกล้ชิดกันขึ้นไปอีกเท่านั้น”
ในปี พ.ศ. 2560 สหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership หรือ TPP) ภายใต้นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของรัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ รัฐบาลประธานาธิบดี บารัก โอบามา ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งก่อนหน้า เป็นผู้เจรจาความตกลงนี้ เพื่อให้สหรัฐอเมริกามีบทบาทสำคัญในภูมิภาคเอเชีย
ความตกลง TPP กลายมาเป็นข้อตกลงความครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนการค้าภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership หรือ CPTPP) และมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2561
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สำนักข่าวส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ได้การประกาศให้นายโจ ไบเดน รองประธานาธิบดีในสมัยของรัฐบาลโอบามา เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2563 แต่ทรัมป์ยังไม่ยอมรับการพ่ายแพ้การเลือกตั้ง
โนอาห์ ลี ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ และ อัฮหมัด สยัมสุดิน ในจาการ์ตา ร่วมรายงาน