รัฐบาลไทยเล็งให้ตำรวจจีนลาดตระเวนเมืองท่องเที่ยวในไทย
2023.11.13
กรุงเทพฯ

เจ้าหน้าที่รัฐต่างฝ่ายยังคงมีความเห็นต่างกัน ในแผนที่รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนมาประจำการในไทย เพื่อทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ตามแผนการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก
แม้ว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของไทยได้กล่าวไม่เห็นด้วยและแสดงความกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้ แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายอื่นมองว่า จะเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาที่นักท่องเที่ยวชาวจีนมีความกังวลในด้านความปลอดภัย ท่ามกลางข่าวว่ามีอาชญากรจีนลักพาตัวนักท่องเที่ยวเพื่อเรียกค่าไถ่ รวมทั้งการที่มีคนถูกล่อลวงไปทำงานในคอลเซ็นเตอร์ในเมียนมา
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา น.ส. ฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้เข้าหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อหาหนทางในการฟื้นฟูจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปมาก จากเหตุระบาดของโควิด-19
น.ส. ฐาปนีย์ เปิดเผยหลังหารือร่วมกับ นายเศรษฐา ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีน
“เราจะได้มีการคุยกันกับสถานทูตจีนที่จะมีโครงการที่เรียกว่า โครงการลาดตระเวน โดยที่เราจะเอาตำรวจจากประเทศจีน สาธารณรัฐประชาชนจีน มาที่เมืองไทยในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นเมืองหลัก ก็คล้าย ๆ กับโครงการลาดตระเวนที่เคยมีทำในยุโรปแล้ว เช่น อิตาลี” น.ส. ฐาปนีย์ กล่าว
“เมื่อมีโครงการดังกล่าวนี้ออกมา เราจะได้เห็นว่าประเทศไทยเราได้มีการเตรียมความพร้อมในการยกระดับเรื่องความปลอดภัยอย่างไรบ้าง ก็จะมีส่วนช่วยในการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวจีนเป็นอย่างมาก ตำรวจท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ ทั้งเมืองหลักและเมืองรอง เสริมกับตำรวจสอบสวนกลาง ก็จะทำงานในทุกมิติเพื่อสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวกลับมา” น.ส. ฐาปนีย์ กล่าวเพิ่มเติม
น.ส. ฐาปนีย์ กล่าวว่า ฝ่ายไทยจะได้หารือเกี่ยวกับโครงการนี้กับทางสถานทูตจีนในรายละเอียดในวันพุธที่ 15 พฤศจิกายน นี้ และระบุว่า คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามายังประเทศไทยตามเป้าหมายที่ 4 – 4.4 ล้านคน
ในปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด-19 มีชาวจีนมาเที่ยวเมืองไทยกว่าหนึ่งในสี่ของยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดเกือบ 40 ล้านคน แต่ในปีนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาแล้วประมาณ 2.8 ล้านคน ตามตัวเลขของ ททท.
อย่างไรก็ตาม ในวันจันทร์นี้ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้เปิดเผยหลังหารือร่วมกับคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎรว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่เคยเสนอให้มีตำรวจจีนมาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย
“ไม่เห็นด้วยกับการนำตำรวจจีนเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยวจีนในไทย เพราะเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตยของไทย และตำรวจไทยมีศักยภาพในการดูแลประชาชนและนักท่องเที่ยวเพียงพอ แนวคิดดังกล่าว สำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่ได้เป็นผู้เสนอ หรือร้องขอไปยังรัฐบาล เชื่อว่าเป็นความเข้าใจผิดในการสื่อสาร” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กล่าว
“ก่อนหน้านี้เคยมีการพูดคุยกันในประเด็นการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกับทางการจีน เพราะเมื่อเกิดเหตุอาชญากรรมที่เกี่ยวเนื่องกับจีน ก็จำเป็นที่จะต้องมีการประสานข้อมูลคนร้ายและข้อมูลคดีกัน” พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม
กลุ่มคนจีนสีเทาไม่กลัวตำรวจไทย
ระหว่างการเดินทางร่วมคณะนายกรัฐมนตรี นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงในวันจันทร์นี้ว่า โครงการดังกล่าวจะไม่ใช่การให้ตำรวจจีนมาลาดตระเวน แต่จะมาประสานงานกับตำรวจไทยเรื่องข้อมูล
“ที่บอกว่าจะเอาตำรวจจีนมาตระเวน ไม่ใช่นะครับ ตำรวจจีนไม่ได้มาตระเวนดูอะไร เขามาอยู่ข้างหลัง มาคอยป้อนข้อมูล มาชี้เบาะแส ชี้อะไรต่าง ๆ เพราะตำรวจไทยจะได้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้น เป็นคนละเรื่องกับการที่มีกระแสข่าวที่บอกว่าประเทศมีเอกราชทำไมต้องเอาตำรวจคนนั้นนี้” นายชัย กล่าว
“กลุ่มคนจีนสีเทาเขาไม่ค่อยกลัวตำรวจไทย แต่เขากลัวตำรวจจีนด้วยกัน และนักท่องเที่ยวจีนเขาจะรู้สึกอุ่นใจกว่า ถ้ามีตำรวจจีนช่วยดูแล ดังนั้นตำรวจของไทยจึงคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีที่สุดก็คือ ขอให้ตำรวจจีนมาเป็นผู้ช่วยในการปฏิบัติงาน” นายชัยระบุ
ด้าน พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ กล่าวว่า ทางการไทยยินยอมให้ชาวต่างชาติเป็นผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อช่วยแปลภาษาในแหล่งท่องเที่ยว เช่น พัทยา ซึ่งเป็นที่นิยมของทั้งชาวจีน รัสเซีย และชาวอินเดีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจอิตาลีและตำรวจจีนเดินผ่านโรมันฟอรัมโบราณ ในช่วงท้ายของการแถลงข่าวเพื่อนำเสนอโครงการลาดตระเวนร่วม ประเทศอิตาลี วันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 (แอนดรู เมกชินี/เอพี)
การเสนอแนวคิดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางรายงานของกลุ่ม Safeguard Defender ในสเปน ที่กล่าวว่าประเทศจีนได้ตั้ง “สถานีตำรวจ” เพื่อปฏิบัติการโดยไม่ถูกต้องในทั้งห้าทวีป โดยรายงานในปี 2565 ระบุว่า ตำรวจจีนเหล่านั้นมีภารกิจหลักในการปิดปากบุคคลในต่างแดนที่กล้าวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งได้ดำเนินการสืบสวนและตัดตอนคำสั่งของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ประชาชน และนักสิทธิมนุษยชน ต่างมองว่าเป็นการที่ไม่เหมาะสมที่จะให้ตำรวจจีนมาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย
น.ส. พุทธณี กางกั้น ผู้อำนวยการ The Fort และอดีตผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนอาวุโส องค์กร Fortify Rights ชี้ว่า ไม่มีความจำเป็นที่ไทยต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนมาปฏิบัติหน้าที่ในประเทศไทย และไทยไม่ควรเน้นนโยบายที่สร้างความพึงพอใจให้กับประเทศใดประเทศหนึ่ง
“หากเป็นความร่วมมือเพื่อประสานข้อมูลอาชญากรรมระหว่างประเทศไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่สำหรับการลาดตระเวน เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมีประสิทธิภาพเพียงพอในการรับผิดชอบอยู่แล้ว เราเห็นการกระตือรือร้นที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนมากเกินไป ทั้งที่ควรหานโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ได้เน้นเฉพาะบางประเทศเป็นพิเศษ รัฐควรพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงข้อดีข้อเสียที่จะเกิดขึ้นหากดำเนินการโครงการนี้จริง ๆ” น.ส. พุทธณี กล่าว
“ถ้าจะให้ตำรวจจีนมาลาดตระเวนในไทยก็ไม่เห็นด้วย ความจริงยังไม่เห็นรายละเอียดว่าจะมาแบบไหน แต่ถ้ามาปฏิบัติหน้าที่เต็ม ๆ แบบตำรวจไทย ไม่ควร เราอาจจะนับได้ว่ามันเป็นการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต สุดท้าย คนที่เคยต้าน ๆ ก้าวไกล เรื่องข่าวลือที่ว่าจะให้ สหรัฐฯ มาตั้งฐานทัพในประเทศ ก็ควรอาจมาค้านเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้าให้ตำรวจจีนมาทำหน้าที่ในไทย เรื่องนี้ก็เหมือน ๆ กับการตั้งฐานทัพ” นายกวิน ศิลปสกุล นักธุรกิจชาวกรุงเทพฯ อายุ 37 ปี เปิดเผยต่อเบนาร์นิวส์
ในปี 2559 ประเทศอิตาลีได้อนุมัติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนในเครื่องแบบปฏิบัติหน้าที่ในเมืองท่องเที่ยวของอิตาลี อย่างโรม และมิลาน หลังจากพบว่า มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาเยือนอิตาลีปีละประมาณ 3 ล้านคน และชาวจีนอีกกว่า 2.5 ล้านคนอาศัยอยู่ในอิตาลี ต่อมาในปี 2565 สื่อมวลชวนรายงาน โดยอ้างว่า มีขบวนการชาวจีนที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ข่มขู่ คุกคามให้ชาวจีนในอิตาลีกลับไปยังประเทศจีน โดยพบว่า ขบวนการดังกล่าวมีการติดต่อกับรัฐบาลจีน กระทั่ง ธันวาคม 2565 รัฐบาลอิตาลี ประกาศยุติโครงการดังกล่าว
ส่วนในประเทศไทย หลังเข้ารับตำแหน่ง นายเศรษฐา ได้ประกาศนโนบายฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีน ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน 2566 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 โดยมีความหวังว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ถึง 30 ล้านคน ภายในปี 2566